Healthcare sector (21 ม.ค.63)

Healthcare sector (21 ม.ค.63)

แนวโน้มธุรกิจโรงพยาบาลดีขึ้นจากรายได้ประกันสังคม

Event

SSO ปรับค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้น และประมาณการ 4Q62

lmpact

ข่าวบวกจากสำนักงานประกันสังคม (SSO)

ในที่สุด คณะกรรมการของ SSO อนุมัติให้ขึ้นค่ารักษาพยาบาลปี 2563 สำหรับ i) ค่ารักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานรายหัวอีก 140 บาท/ราย เป็น 1,640 บาท (+9.3% จาก 1,500 บาทในปี 2562) ii) “High Cost Care” (HCC) เป็น 746 บาท/ราย/ปี (+16.6%) และ iii) โรครื้อรัง 26 โรคเป็น 453 บาท/ราย/ปี (+1.3%) (Figure 1) ซึ่งเท่ากับมีการปรับขึ้นอัตราค่ารักษาพยาบาลหลักสามรายการ 9.7% เป็น 2,839 บาท (จากเดิมที่ 2,587 บาท) อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางบวกจะมาจากการปรับอัตราค่ารักษาพยาบาลขั้นพื้นฐานรายหัวเป็นหลัก หากเทียบกับการปรับเปลี่ยนรายการอื่น ขณะที่เราเห็นว่า การปรับเพิ่ม HCC เป็นการกำหนดเพื่อจัดทำงบประมาณภายในของ SSO เป็นหลัก ซึ่งจะทำให้ SSO มีความสามารถที่จะจ่ายให้กับโรงพยาบลาลซึ่งมีผู้ป่วยที่มี high intensity (IPD) ตามข้อกำหนดในสัญญาที่ 12,800 บาท (สำหรับRW>=2) นอกจากนี้ จำนวนผู้ป่ วยโรคเรื้อรัง 26 โรคที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนแค่ 1.3% ก็ไม่น่าจะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญ เรามองว่าข่าวนี้เป็นบวกกับโรงพยาบาลที่มีฐานจำนวนผู้ป่ วยประกันสังคมสูง เพราะตั้งแต่ต้นปี 2563 รายได้ในส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้น 9.3% ต่อราย ซึ่งเป็นไปตามจำนวนผู้ประกันตนของแต่ละโรงพยาบาล

แรงกดดันจาก HCC ลดลงในปี 2563-64

ในระยะต่อไป เราคิดว่าโรงพยาบาลส่วนใหญ่ที่มีบริการ HHC จะมีผลการดำเนินงานดีขึ้นจากการจ่ายค่าบริการ SSO เมื่อเทียบกับสามปีที่ผ่านมา (2560-2562) ทั้งนี้ SSO มักขาดงบที่จะจ่ายให้โรงพยาบาลที่ให้บริการ HCC ใน 4Q ของปี ดังนั้น SSO จึงลดอัตราที่จ่ายลงจาก 12,800 บาท/RW เหลือ 10,200 บาท ในปี 2560 และ 8,100 บาทในปี 2561 และ 7,100 บาทในปี 2562 เราคิดว่าการที่งบขาดดุลเป็นเพราะ i) มีกรณี intensity มากที่มาใช้บริการโรงพยาบาลที่ขึ้นทะเบียนมากขึ้น และ ii) ประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น ซึ่งตามประกาศของ SSO สะท้อนว่า SSO จะเพิ่มงบ HCC ปีนี้ขึ้นอีก 16.6% เพื่อบริหารงบที่ขาดดุล 11.1% ในปี 2562 ดังนั้น เราจึงมองบวกมากขึ้นกับแนวโน้ม HCC ที่เพิ่มขึ้นในช่วงสองสามปีข้างหน้า เนื่องจากเราคาดการณ์ว่า งบประมาณใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปี 2563-64 จะมีเพียงพอสำหรับ HCC (Figure 2-6)

แนวโน้มกำไร 4Q62 ของ BCH, CHG และ LPH ไม่น่าตื่นเต้น

เราคาดว่าโรงพยาบาลที่มีฐานผู้ป่ วยประกันสังคมจะถูกกระทบจากรายได้ที่ลดลงจาก HCC เพราะ SSO ประกาศว่าจะจ่ายค่า HCC ลดลงเหลือแค่ 7,100 บาท (ลดลงถึง 44.5% จาก 12,800 บาท) ดังนั้น เราจึงคาดว่ากำไรสุทธิของ BCH ใน 4Q62 จะอยู่ที่ 270 ล้านบาท (ทรงตัว YoY, -32.9% QoQ) ในขณะที่คาดว่ากำไรสุทธิของ CHG ใน 4Q62 จะอยู่ที่ 153 ล้านบาท (+37.4% YoY, -42.9% QoQ) เราคาดว่ากำไรสุทธิของ LPH ใน 4Q62 จะอยู่ที่ 30 ล้านบาท (+80.9% YoY, +16.6% QoQ) นอกจากนี้ เราคาดว่า ผลประกอบการของ EKH ใน 4Q62 จะออกมาน่าพอใจโดยมีกำไรสุทธิ 32 ล้านบาท (+16.2% YoY, -33.7% QoQ) เนื่องจากไม่มีรายได้จากบริการประกันสังคม แม้ว่าผลประกอบการจะลดลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล

ปัจจัยบวกจาก SSO จะทำให้มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3-5%

เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 2563 ของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่มีบริการประกันสังคมจะเพิ่มขึ้น 3-5% YoY จากอานิสงส์ของการปรับขึ้นค่ารักษาพยาบาลโดยรวม และผู้ป่ วยที่มี intensity สูงตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ในขณะที่เรามองว่ามูลค่าเหมาะสมยังมี upside จากเดิมอีก 3-5%

Valuation & Action

เรายังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่ Neutral และเลือก BCH เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มโดยให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 23.20 บาท

Risks

ปัญหาเสถียรภาพการเมืองของไทยรอบใหม่, เกิดเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่, เศรษฐกิจฟื้นตัวช้าเกินคาด