“โนเบิล” สวนตลาดอสังหาฯทรุด ผนึก“ยูซิตี้-ฮ่องกงแลนด์” ลุยลงทุน

“โนเบิล” สวนตลาดอสังหาฯทรุด ผนึก“ยูซิตี้-ฮ่องกงแลนด์” ลุยลงทุน

โนเบิล ไม่หวั่นอสังหาฯชะลอตัว ผนึกยูซิตี้ - ฮ่องกงแลนด์ ลุยลงทุน สปีดเปิดตัวปีนี้ 7 โครงการ มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท ดันยอดขายโตกว่า 1.2 หมื่นล้าน

นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม และกรรมการผู้จัดการ บริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดอสังหาฯ ในปี2563 ยังคงชะลอตัว แต่บริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากบริษัทได้ขยายความร่วมมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่ง โดยล่าสุดได้การร่วมทุนระหว่างบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน)ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เพื่อลงทุนและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่าย

โดยจัดตั้ง บริษัท รัชดา อัลไลแอนซ์ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ด้วยทุนจดทะเบียน50ล้านบาท โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น 50:50 ซึ่งเปิดตัวคอนโดภายใต้แบรนด์ “นิว”( Nue) ซึ่งเป็นโครงแรกในการร่วมทุน บนทำเลรัชดา-ลาดพร้าว มูลค่าโครงการ2,000 ล้านบาทในไตรมาสสองปีนี้ อนาคตจะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยร่วมกันตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า และสนามบินอู่ตะเภาต่อไปเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ขณะเดียวกันได้ร่วมทุนกับกลุ่มฮ่องกงแลนด์ เพื่อพัฒนาที่ดินบนถนนวิทยุ บนพื้นที่ 3 ไร่เพื่อพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่โดยจะมีพื้นที่ใช้สอยรวมกว่า 60,000 ตารางเมตรหรือคิดเป็นมูลค่า 10,000 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวกลุ่มฮ่องกงแลนด์ เป็นผู้ดำเนินการ ถือหุ้น74% โนเบิลถือหุ้น 26%เมื่อพัฒนาแล้วเสร็จจะเป็นการเพิ่มเติมส่วนที่พักอาศัยที่เป็นลักษณะการขายขาด (Freehold) เป็นต้น

“แนวทางการทำธุกิจจะเน้นการทำงานที่สร้างโอกาสในการขยายตลาด และฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นจากความร่วมมือกับพันธมิตร ในการลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมเป็นหลัก เนื่องจากมีฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าชาวต่างชาติ จึงไม่จำเป็นต้องทำตลาดแนวราบเหมือนกับผู้ประกอบการรายอื่น ”

นายธงชัย กล่าวว่า ปี 2563 ถือเป็นก้าวสำคัญของโนเบิลในการต่อยอดความสำเร็จในปีที่ผ่านมาที่มียอดรายได้สูงกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ30 ปี ส่งผลให้โนเบิลก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 10 ผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นจึงเตรียมเปิดตัว 7 โครงการ

ประกอบด้วย1. โครงการ โนเบิล ร่วมฤดี มูลค่า1,020 ล้านบาท2. โครงการ โนเบิล สเตท 39 มูลค่า 3,663 ล้านบาท3. โครงการ นิวในทำเลงามวงศ์วาน มูลค่า 2,023 ล้านบาท 4 .โครงการบนถนนพรานนก มูลค่า1,200 ล้านบาท 5. โครงการในทำเลทองหล่อ 18 มูลค่า 5,300 ล้านบาท 6. โครงการบนถนนวิทยุ มูลค่า10,000 ล้านบาทและ 7. โครงการ “นิว”( Nue) ซึ่งเป็นโครงแรกในการร่วมทุน บนทำเลรัชดา-ลาดพร้าว มูลค่า 2,000 ล้านบาทและมีแคมเปญต่อเนื่องตลอดทั้งปีเพื่อรุกตลาดคอนโดมิเนียมครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ตั้งแต่ระดับราคาที่จับต้องได้ 1แสนกว่าบาทต่อตร.ม.ไปจนถึงระดับไฮเอนด์รวมมูลค่า25,000 ล้านบาท คาดว่า สิ้นปี ยอดขายโตกว่า 12,000ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากตลาดต่างประเทศ ประมาณ 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อนที่ทำได้ 3,500 ล้านบาท ล่าสุดบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ในช่วง 2-3 ปีจากนี้ (2563-2565) คาดว่า 3ปีจากนี้ ยอดขายติดท็อปไฟว์ ในตลาดหลักทรัพย์

“ปีนี้ เศรษฐกิจไม่ดีต้องระมัดระวังตัว แง่การทำตลาดทำเซกเมนต์ขายง่ายขึ้น ขยายตลาดต่างประเทศ ด้วยการลงทุน ซื้อตึกสร้างเสร็จแล้วมาขายให้กับกลุ่มที่สนใจ จีน ฮ่องกง คนไทย ที่ต้องการลงทุนซื้อคอนโดในลอนดอน คาดว่าใช้เงินลงทุน 1,000 ล้านบาทในช่วงค่าเงินบาทแข็งค่า สถานการณ์เบร็กซิท ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง คาดว่าเห็นสิ้นปีนี้ ”

นายแฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม โนเบิลฯ กล่าวว่า ในปี 2562 ที่ผ่านมาสามารถสร้างยอดขายจากตลาดต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 3,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 50% ของยอดขายทั้งหมดในปี 2562 เป็น 7,000 ล้านบาทในปี 2563ซึ่งปัจจุบันนี้บริษัทฯ ครองส่วนแบ่งตลาดสูงถึง 18% ของส่วนแบ่งตลาดต่างประเทศในช่วงราคา 80,000 - 250,000 บาทต่อตร.ม. ซึ่งเป็นระดับราคาขายที่ทางโนเบิลทำการตลาดอยู่ หรือประมาณทุก 1 ใน 5 ยูนิตของคอนโดที่ขายไปยังชาวต่างชาติทั้งหมดในกรุงเทพฯ ประกอบด้วย ลูกค้าหลักจากต่างประเทศ เช่น จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน ซึ่งบริษัทฯ มีเครือข่ายที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้ากว่า 470 ช่องทาง โดยเฉพาะในประเทศจีนซึ่งถือเป็นตลาดหลักที่บริษัทฯ สามารถขยายฐานการตลาดครอบคลุมได้กว่า 21 เมือง