ส่อง 'หุ้นเด่น' รับดีลค้าโลก คลายแรงกดดันเศรษฐกิจจีน ดึงเงินหยวนแข็งค่า

ส่อง 'หุ้นเด่น' รับดีลค้าโลก คลายแรงกดดันเศรษฐกิจจีน ดึงเงินหยวนแข็งค่า

กูรูส่องหุ้นรับอานิสงส์เทรดวอร์ 'เฟส 1' คลี่คลาย ประเมินแนวโน้มหยวนแข็งค่าตามนโยบายรัฐบาลจีน คาดธุรกิจขายสินค้าอุปโภคบริโภครับผลบวก โบรกชู 3หุ้นเด่น “คาราบาวกรุ๊ป-เถ้าแก่น้อย-บิวตี้” รับอานิสงส์เต็ม ด้าน“เอเชีย พลัส”ประเมินผลบวกยังไม่ชัด เตือนระวัง

การลงนามข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนใน 'เฟส 1' ส่งผลให้บรรยกาศการค้ากลับมาดีขึ้น แม้ข้อตกลงที่ถูกเปิดเผยออกมาจะเป็นไปตามที่ตลาดคาดในช่วงก่อนหน้า โดยฝั่งสหรัฐ เลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับจีนในรอบล่าสุด วงเงิน 1.6 แสนล้านดอลลาร์ อัตราภาษี 15% ออกไปอย่างไม่มีกำหนดและลดอัตราภาษีนำเข้าจีนในรอบก่อนหน้า วงเงิน 1.1 แสนล้านดอลลาร์ ลงครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้อัตราภาษีเหลือ 7.5% จากเดิมเก็บ 15%

ขณะที่จีนตกลงจะนำเข้าสินค้าจากสหรัฐวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ในเวลา 2 ปี ระหว่างปี 2563 - 2564 โดยจะนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรม รวม 7.7 หมื่นล้านดอลลาร์ พลังงาน 5.24 หมื่นล้านดอลลาร์ บริการ 3.79 หมื่นล้านดอลลาร์ และสินค้าเกษตร โดยหลักคือ ถั่วเหลือง 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์ นอกจากนี้จีนยังเพิ่มมาตรการการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาและการถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมถึงการเปิดเสรีการบริการด้านการเงินให้กับบริษัทสหรัฐ

นายภาสกร ลิมมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย มองว่า การลงนามในเทรดดีล เฟส 1 เป็นไปตามที่ตลาดคาด ทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ หากโฟกัสไปที่ประเทศจีนหลังจากการลงนามครั้งนี้ รัฐบาลจีนน่าจะเดินหน้านโยบายที่จะเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ จากการเป็นผู้ส่งออก เป็นการพึ่งพาการลงทุน และอุปโภคบริโภค ในประเทศ ซึ่งจะทำให้ทิศทางของเงินหยวนแข็งค่าขึ้น

“ในอดีตที่จีนเคยเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออก รวมถึงการขนเงินไปลงทุนต่างประเทศ มีช่วงหนึ่งที่ทุนสำรองของประเทศหายไปถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพราะนักลงทุนจีนนำเงินออกไปลงทุนมากเกินไป จนทำให้ประเทศเกิดความเสี่ยง”

ทั้งนี้ หากพิจารณาโดยภาพรวมแล้ว หุ้นไทยที่ค้าขายกับจีนก็น่าจะได้รับประโยชน์จากการแข็งค่าของเงินหยวนเช่นกัน อาทิ บมจ.คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG

ปัจจุบัน CBG มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศประมาณ 52% ของรายได้รวม ซึ่งในส่วนนี้มาจากจีนและประเทศในเอเชียอื่นๆ นอก CLMV รวมประมาณ 15% อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนที่จะขยายธุรกิจในจีนเพิ่มเติม หลังจากที่เพิ่งจะเปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายรายใหม่ และมีทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในจีนมีขนาดใหญ่ประมาณ 2 หมื่นล้านกระป๋อง

นอกจากนี้ หุ้นอย่าง บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN ซึ่งมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศถึงประมาณ 60% โดยมีจีนเป็นตลาดหลักในการส่งออก

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) คาดว่า จะเห็นการฟื้นตัวของรายได้จากจีนอย่างมีนัยสำคัญในปี 2563 โดยปัจจุบันมีคำสั่งซื้อจากพาร์ทเนอร์ที่เข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่าย คือ โอริออน คอร์ป อยู่ที่ 200 ตู้ต่อเดือน รายได้ประมาณตู้ละ 1 ล้านบาท และทาง TKN มีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิต จากปัจจุบันรองรับการผลิตได้ที่ 6,000 ตัน และจะเห็น synergy เพิ่มจากโอริออน และ TKN มากขึ้น

ขณะเดียวกัน บริษัทอย่าง บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY เป็นอีกสองธุรกิจที่มีฐานลูกค้าชาวจีนซึ่งเดินทางมาประเทศไทยจำนวนมาก รวมทั้งสินค้าที่ส่งออกไปยังจีนโดยตรง ก็อาจจะได้รับอานิสงส์เชิงบวกเพิ่มขึ้น

สำหรับ BEAUTY ฟื้นตัวช้ากว่าคาด จากผลกระทบของกฎหมาย E-Commerce ใหม่ของจีนที่เริ่มใช้ตั้งแต่เดือน ม.ค. นี้ คาดทำให้รายได้จาก Daigou หายไปถึง 85% สูงกว่าที่คาด และการขยายจุดจำหน่ายในจีนช้ากว่าที่คาดเช่นกัน ทำให้ผู้ที่มาซื้อสินค้าของ Beauty เพื่อไปขายออนไลน์ในจีนลดลง แต่ภาพรวมทั้งปี น่าจะเห็นการฟื้นตัวของรายได้จากจีนอย่างเห็นได้ชัด จากกลยุทธ์การขยายจุดจำหน่ายสินค้า นอกเหนือจากนี้ บริษัทยังได้เซ็นสัญญากับพันธมิตรทางออนไลน์หลักๆ ของจีนครบทั้งหมดในปี 2562 ที่ผ่านมา

157949741720

ด้าน นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส มองว่า ถึงแม้สงครามการค้าดูเหมือนจะคลี่คลายลง แต่จากรายละเอียดแล้ว จะเห็นว่าผลบวกที่อาจจะเกิดขึ้นนั้นอาจจะยังไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากสัญญาที่ลงนามในรอบนี้เป็นการยืดภาษีที่ยังไม่ได้เรียกเก็บออกไป ส่วนภาษีที่เก็บไปแล้วมีแค่บางส่วนที่ปรับลดลง 50% และที่เหลือก็ยังคงเก็บภาษีเช่นเดิม

“โดยส่วนตัวมองว่าเทรดดีลในรอบนี้มีผลบวกน้อยมาก เป็นเหมือนการควบคุมไม่ให้ผลกระทบบานปลายไปมากกว่านี้เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ลดผลของที่ผ่านมาลงมากนัก”

สำหรับหุ้นไทยที่ทำการค้าขายกับจีน ก็อาจจะยังไม่ได้เห็นแรงหนุนชัดเจน ที่ผ่านมาหลายบริษัทก็พยายามที่จะรุกตลาดนี้ อาทิ TKN และ BEAUTY หรือแม้แต่บริษัทในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แม้ช่วงแรกจะมีผลลัพธ์ที่ค่อนข้างดี แต่ระยะหลังต้องยอมรับว่าแผ่วลงไปมาก