ถอดมุมมอง 'เสี่ยยักษ์' แม้แต่นักลงทุนรายใหญ่ก็ถูกดิสรัป

ถอดมุมมอง 'เสี่ยยักษ์' แม้แต่นักลงทุนรายใหญ่ก็ถูกดิสรัป

‘เสี่ยยักษ์’ วิชัย วชิรพงศ์ น่าจะเป็นชื่อที่แวดวงตลาดหุ้นไทยคุ้นหูกันเป็นอย่างดี หลังจากโลดแล่นในฐานะ 'นักลงทุนรายใหญ่' มากว่า 20-30 ปี ด้วยมูลค่าพอร์ตลงทุนระดับหลายพันล้านบาท

เรื่องราวของเสี่ยยักษ์เคยถูกถ่ายถอดออกมาให้ได้รับรู้กันอยู่เป็นระยะ สะท้อนให้เห็นถึง 'สีสัน' และ 'วัฏจักร' ของตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ในยุคที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ยังตั้งอยู่ ณ อาคารสินธร ขณะที่ดัชนี SET พุ่งทะยานจากเพียง 100 - 200 จุด ไปแตะระดับ 1,700 จุด ในปี 2537 ก่อนที่ฟองสบู่จะแตกในปี 2540 จนตลาดหลักทรัพย์ย้ายสถานที่ทำการมาอยู่ที่บริเวณคลองเตย ก่อนจะย้ายอีกครั้งมาตั้งตระหง่านอยู่บนถนนรัชดา พร้อมๆ กับที่ดัชนี SET ค่อยๆ ฟื้นตัว จนทะลุไปทำสถิติใหม่ที่ระดับ 1,800 จุด

แต่มาในวันนี้ เสี่ยยักษ์ กลับมองว่า“สีสันของตลาดหุ้นไทยกำลังค่อยๆ หายไป”

การนัดสัมภาษณ์เสี่ยยักษ์ในครั้งนี้ ยังคงเป็นสถานที่เดิม คือ ห้องวีไอพี บนชั้น 21 ของอาคารเซ็นทรัลเวิร์ล แต่บรรยากาศในครั้งนี้เงียบเหงาต่างไปจากเดิมพอสมควร แม้ในห้องจะยังเต็มไปด้วยหน้าจอเทรดนับสิบที่เสี่ยยักษ์และกลุ่มเพื่อนใช้ติดตามข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งในวันนี้กลับมีเพียงเสี่ยยักษ์แค่คนเดียวเท่านั้น

“ทุกวันนี้กลุ่มเพื่อนที่เคยเทรดด้วยกันก็หันไปทำอย่างอื่นกันหมด เพราะช่วงที่ผ่านมา เข้าไปเทรดก็มีแต่ขาดทุน ส่วนตัวเเองก็แทบจะไม่ได้ซื้อขายสักเท่าไหร่”

เสี่ยยักษ์ เล่าต่อว่า ทุกวันนี้บรรยากาศของตลาดหุ้นไทยเปลี่ยนไปมาก การซื้อขายหลักๆ ในตลาดทุกวันนี้มาจากนักลงทุนสถาบันในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่นักลงทุนรายย่อยน่าจะหายไปกว่าครึ่ง เข้าใจว่าเดิมทีสัดส่วนการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยน่าจะอยู่ที่ 60% ลดลงมาเหลือเพียง 30%

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนเทรนด์ของโลก อย่างตลาดสิงคโปร์ซึ่งเคยมีรายย่อย 60% ก็ลดลงมาเหลือเพียง 15% จนปริมาณการซื้อขายในแต่ละวันเหลือน้อยมาก และไทยเองก็กำลังจะเดินตามรอยนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น มันทำให้การลงทุนในรูปแบบเดิมๆ ของนักลงทุนยุคเก่าทำแล้ว ไม่ได้ผลลัพธ์แบบเดิมอีกต่อไป

“กระแสของการถูกดิสรัป (Disrupt) จากเทคโนโลยีไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับธุรกิจดั้งเดิมอย่างเดียว แต่นักลงทุนยุคเก่าก็หนีไม่พ้นการถูกดิสรัป”

ปัจจุบันการเทรดโดยใช้ AI เข้ามาช่วย ทำให้การคิดวิเคราะห์ข้อมูลรวดเร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์อย่างมาก ขณะเดียวกันกลุ่มหุ้นที่เคลื่อนไหวกันในขณะนี้ก็กระจุกอยู่ในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่อย่าง SET50 เท่านั้น ทำให้คนที่เล่นเก็งกำไรหุ้นแถว 2 แถว 3 หายไปมาก ถึงแม้ว่าหุ้นเหล่านั้นจะมีค่า P/E อยู่ในระดับต่ำมาก เพียง 5-7 เท่า แต่ก็ยังไม่มีคนสนใจเข้ามาซื้อขายกัน แตกต่างจากในอดีตที่เมื่อราคาหุ้นลดลงมาต่ำขนาดนี้ จะเริ่มมีแรงซื้อเก็งกำไรกันเข้ามา

เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากยังต้องการที่จะอยู่รอดในตลาดต่อไป

เสี่ยยักษ์มองว่าสิ่งที่นักลงทุนยุคใหม่ หรือแม้แต่นักลงทุนยุคเก่า จำเป็นจะต้องทำคือ การศึกษาในเรื่องของ AI อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรู้ว่าคู่แข่งรายใหม่ของเรามีหลักในการทำงานอย่างไร

ถัดมาคือการโฟกัสให้มากขึ้น ทุกวันนี้หุ้นในตลาดมีอยู่ 600 – 700 ตัว แต่หุ้นที่ได้รับความสนใจและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเป็นเพียงกลุ่มเล็กเท่านั้น ซึ่งเราก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเป็นกลุ่มไหน

การศึกษาเกี่ยวกับการลงทุนในตอนนี้ ต้องไม่ใช่แค่ศึกษาจากคนรุ่นเก่าแล้ว โลกมันเปิดกว้างมาก คนรุ่นเก่ามีลูกเก๋า แต่สุดท้ายแล้วคนรุ่นเก่าจะตกยุคแน่ๆ ถ้าไม่ได้มีการปรับตัว สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ สิ่งที่ต้องเรียนรู้ก็คือเรื่องของเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในการลงทุน อย่างเรื่อง AI เพราะถ้าลงสนามไปแข่งแล้ว เขามีความพร้อมมากกว่า ก็ยากที่จะชนะ”

ด้วยวัย 64 ย่างเข้าสู่ 65 ปี เสี่ยยักษ์ บอกว่า ส่วนตัวไม่อยากล้มเหลวในช่วงเวลานี้ เพราะฉะนั้นเป้าหมายสูงสุดต่อจากนี้จึงไม่ใช่การจะทำเงินให้ได้มากๆ อีกแล้ว

“ทุกวันนี้มาไกลเกินฝันมาก แต่ด้วยอายุขนาดนี้ถึงจะชนะได้เงินมาอีกสักหมื่นล้าน มันก็แทบจะไม่ได้แตกต่างกันอีกแล้ว เป้าหมายต่อจากนี้คือการเห็นลูกหลานประสบความสำเร็จมากกว่า ส่วนตัวก็คงจะค่อยๆ เฟดตัวออกไปจากตลาด และสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คงเป็นเรื่องสุขภาพ”

อย่างไรก็ตาม เสี่ยยักษ์ได้ทิ้งท้ายถึงนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ต้องการจะประสบความสำเร็จาทางการลงทุน นอกจากจำเป็นจะต้องศึกษาในเรื่องของเทคโนโลยีแล้ว การฝึกฝนและวินัยถือเป็นสิ่งสำคัญ

ร่างกายมนุษย์นี่แปลกนะ ยิ่งใช้ ยิ่งฝึกเรื่อยๆ มันยิ่งเก่ง อย่างการออกกำลังกาย พอเรามีวินัย ทำต่อเนื่อง ก็รู้สึกว่าแข็งแรงกว่าตอนที่อายุน้อยกว่านี้ การลงทุนก็เหมือนกัน ถ้าฝึกฝนทุกวัน ก็จะยิ่งเก่งขึ้นทุกวัน”