'สภาวิศวกร' จี้ 5 หน่วยงาน ชงเรื่อง 'ฝุ่น' บรรจุในกฎหมาย

'สภาวิศวกร' จี้ 5 หน่วยงาน ชงเรื่อง 'ฝุ่น' บรรจุในกฎหมาย

"สภาวิศวกร" ชงปัญหาฝุ่นบรรจุในกฎหมาย เก็บภาษีคนไม่รักษาสิ่งแวดล้อมจ่ายให้คนทำดีป้องกันฝุ่นแทน จัดทำระบบแจ้งเตือนผ่านมือถือทุกจุดเสี่ยงเด้งเตือนตลอดทุกวินาที พร้อมชงแนวทางแก้ปัญหาระยะยาวถึง 5 หน่วยงานรัฐ

เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 63 ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 ที่ได้ปกคลุมน่านฟ้าไทยทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และเป็นผลให้คนไทยจะต้องเผชิญกับมหันตภัยฝุ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจากการรายงานผลสถานการณ์คุณภาพอากาศ โดยกรมควบคุมมลพิษ โดยตลอด 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาในเดือนมกราคม 2563 พบค่าเฉลี่ยเกินมาตรฐานที่ 100 ในพื้นที่เขตดินแดง และพื้นที่มหาชัย จ.สมุทรสาคร ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจของประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก เฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก หรือประชาชนที่มีภูมิต้านทานต่ำ

ล่าสุดวันนี้สภาพอากาศปิด ทำให้ฝุ่น PM2.5 พุ่งสูงขึ้น ความจริงแล้วรัฐบาลต้องมีมาตรการรับมือ เพราะสามารถทราบสภาพอากาศล่วงหน้าได้ถึง 1 สัปดาห์ แต่ปรากฏว่าภาครัฐไม่ตั้งรับอะไรเลย ทั้งที่สามารถป้องกันได้ เช่น ประกาศหยุดเรียนในพื้นที่เสี่ยง ห้ามรถควันดำวิ่งเข้ากรุงเทพฯ ถึงเวลาที่รัฐต้องแก้ปัญหาระยะยาว ไม่ใช่แก้แบบไฟไหม้ฟางเช่นนี้

สำหรับแนวทางที่สามารถทำได้เลย คือการใช้เทคโนโลยีมือถือแจ้งเตือนค่าฝุ่น PM2.5 ในทุกพื้นที่ ทุกวินาทีที่เกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะป้ายรถเมล์ทั้ง 5,000 กว่าแห่งทั่วกรุงเทพฯ และบรรจุเรื่องฝุ่นไว้ในกฎหมาย มีบทลงโทษ บังคับใช้อย่างจริงจัง อย่างการจัดเก็บภาษีบุคคลหรือผู้ประกอบการด้านอาคารที่ไม่มีจิตสำนึกรักษาสิ่งแวดล้อมต้องเสียภาษีมากขึ้น ส่วนคนที่ใช้รถเก่าต้องตรวจสภาพรถทุกปี ถ้าไม่ตรวจต้องเสียภาษีมากขึ้น ขณะเดียวกันคนที่รักษาสภาพแวดล้อมต้องได้รับการลดหย่อนภาษี

การมีกฎหมายแต่ไม่บังคับใช้ก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ประการแรกคือประกาศสงครามกับรถควันดำห้ามเข้ากรุงเทพฯ

นายกสภาวิศวกร ย้ำว่า วันนี้ (16 ม.ค.) สภาวิศวกรได้ร่วมประชุมหาแนวทางการป้องกันฝุ่น PM2.5 ในระยะยาว เสนอหน่วยงานภาคอสังหาริมทรัพย์ คมนาคม ก่อสร้าง ขนส่งทางราง และสิ่งแวดล้อม เตรียมวางแผนสร้างมาตรการรองรับภัยฝุ่นละอองขนาดเล็กในระยะยาว เพื่อสร้างเกราะป้องกันคนไทย

นอกจากนี้ยังได้แนะ 7 วิธีการรับมือวิกฤติฝุ่น PM2.5 ได้แก่ 

1. ติดตั้งระบบการแจ้งเตือนมลพิษในเมือง 

สถานการณ์ ฝุ่นละอองพิษขนาดเล็ก PM 2.5 ในกรุงเทพ แต่ละพื้นที่มีความหนาแน่นของฝุ่นที่แตกต่างกัน ในบางพื้นที่จะมีปริมาณความหนาแน่นของฝุ่นทะลุตั้งแต่ 20 - 50  ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สาเหตุหลักไม่ได้เกิดจากสภาพอากาศปิด แต่เกิดจากมลพิษอากาศที่ปล่อยควันเสียของเครื่องยนต์ดีเซล การก่อสร้าง และจากโรงงานอุตสาหกรรม ดังนั้น จึงควรติดตั้งระบบการแจ้งเตือนมลพิษในกรุงเทพ เพื่อแจ้งเตือนประชาชนที่ต้องเดินทางหรือต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีปริมาณฝุ่นละอองพิษขนาดเล็ก PM 2.5 เกินเกณฑ์มาตราฐาน ซึ่งขณะนี้ มีการนำร่องติดตั้งสถานีตรวจวัดฝุ่น ณ สถานีพระจอมเกล้าลาดกระบัง และในอนาคตเตรียมขยายจุดติดตั้งเพิ่มขึ้น   โดยสามารถต่อยอดผ่านการทำแผนที่ตรวจสอบบริเวณที่มีฝุ่นหนาแน่น เพื่อแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ เช่น ระบบการแจ้งเตือนมลพิษในประเทศเกาหลีใต้ จีน และสหรัฐอเมริกา

2. ผลักดันแนวคิดในการพัฒนาภาษีฝุ่น 

หากประเทศไทยต้องการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในระยะยาว แนวทางหนึ่งคือ การจัดทำมาตรการทางภาษีบังคับใช้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ โดยหากองค์กรใดมีการบริหารจัดการการก่อสร้างที่มีมาตรฐาน ลดปริมาณการเกิดฝุ่น จะสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ขณะที่ผู้ประกอบการที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม จะต้องเผชิญกับการเสียภาษีฝุ่น นอกจากนี้ ประเทศไทยควรมีการจัดเก็บภาษีสำหรับยานพาหนะที่ปล่อยควันดำสร้างปัญหามลพิษทางอากาศ โดยหากยานพาหนะมีสภาพเก่าจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อนำภาษีเหล่านี้มาดูแลทางด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสุขภาพของคนไทย

3. พัฒนาแอปฯ แจ้งเตือนปริมาณฝุ่น (Smart Mobility) 

เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิทิจัล โดยเฉลี่ยแล้วประชากรไทยจะมีโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องใช้เทคโนโลยีมาบริหารจัดการ เมื่อเข้าบริเวณฝุ่น PM 2.5 การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อแจ้งเตือนประชาชน เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลาและแบบเรียลไทม์ ตลอดจนเป็นแนวทางป้องกันให้ประชาชนสามารถเตรียมสวมหน้ากาก เมื่อจำเป็นต้องเข้าไปยังพื้นที่ที่มีปริมาณฝุ่นหนาแน่น และลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของคนไทย  

4. กำหนดพื้นที่เสี่ยง (Risk Area) 

การเกิดฝุ่น PM2.5 ของประเทศไทยยังจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะยาวอย่างแน่นอน หากทุกภาคส่วนไม่มีแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งการกำหนดพื้นที่เสี่ยง ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณป้ายรถเมล์ นับเป็นบริเวณที่มีปริมาณฝุ่นหนาแน่น แต่กลับไม่มีการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชน ซึ่งในปัจจุบันพื้นที่กรุงเทพฯ มีป้ายรถเมล์จำนวนถึง 5,000 ป้าย และมีป้ายรถเมล์ที่เสี่ยงต่ออันตรายสุขภาพถึง 1,000 ป้าย ดังนั้น ภาครัฐจึงควรลงทุนติดตั้งพัดลมบริเวณดังกล่าว เพื่อลดปริมาณฝุ่นสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ

157923791682

5. ลดต้นเหตุการก่อฝุ่น PM2.5 

การฉีดน้ำล้างถนนและการติดสปิงเกอร์บนตึกสูงเพื่อพ่นละอองน้ำ ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุดและไม่เกิดประสิทธิภาพ เนื่องจากเมื่อละอองที่จับตัวกับฝุ่น PM 2.5 แห้งตัว ฝุ่นก็จะกลับมาฟุ้งกระจายเหมือนเดิม ดังนั้น ภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรวิเคราะห์ถึงต้นเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ไขที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน ที่ผ่านมาพบว่าต้นเหตุของการก่อฝุ่นโดยส่วนใหญ่ มักจะเกิดขึ้นในบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ถนนที่มีการจราจรหนาแน่น ป้ายรถเมล์ ใต้สถานีรถไฟฟ้า เป็นต้น

6. เตือนภัยกลุ่มเสี่ยงให้รวดเร็ว

จากภาวะฝุ่น PM 2.5 ในปัจจุบันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น จึงควรมีมาตรการในการแจ้งเตือนภัยสำหรับกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเป็นอันตรายจากฝุ่น PM 2.5โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กเล็ก กลุ่มผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจ โรคปอด โรคทางสมอง และโรคมะเร็ง ซึ่งนับเป็นการทำลายทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต   

7. ให้ความรู้ประชาชนเรื่องฝุ่นและการดูแลตัวเองในเบื้องต้น

สภาวิศวกร ร่วมกับวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ได้ผสานความร่วมมือในการลงพื้นที่ตรวจสอบและวัดปริมาณฝุ่น รวมทั้งจัดอบรมให้ความรู้ประชาชนให้มีองค์ความรู้เรื่องฝุ่นและการดูแลตัวเองในเบื้องต้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการจัดประชุมระดมความคิดเห็นร่วมกับนักวิชาการ จากหน่วยงานภาครัฐ และภาคการศึกษา เพื่อวิเคราะห์และเสนอทางออกการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5  ทั้งในระยะสั้น กลาง และระยะยาว ต่อรัฐบาล เพื่อนำไปพิจารณาและออกเป็นข้อบังคับใช้ในอนาคต ทั้งนี้ สภาวิศวกรพร้อมเป็นหน่วยงานในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แก่หน่วยงานรัฐ เอกชน ภาคการศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่สนใจ  

ด้าน ดร.ประเสริฐ ตปนียางกูร เลขานุการสภาวิศกร กล่าวเสริมว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เกิดขึ้นมานานแล้วและไม่เพียงแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก เช่น ประเทศจีน อินเดีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งฝุ่นดังกล่าวเป็นอันตรายสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และผู้สูงอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป โดยเกณฑ์มาตรความปลอดภัยของประเทศไทย ปริมาณฝุ่น PM 2.5 อยู่ในระดับ  50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งคุณภาพอากาศอยู่ในระดับปานกลาง แต่หากต้องการให้คุณภาพดีหรือดีมากนั้น จะต้องปรับค่าปริมาณฝุ่นให้เหลือ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของคนไทย 18,000 คน และกรณีที่สามารถลดปริมาณฝุ่นได้ถึงระดับ 12 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ถึง 15,000 คน

พร้อมแนะภาครัฐปรับมาตรการระยะกลาง ผ่านการปรับมาตรฐานค่าฝุ่น PM 2.5 ให้ดีขึ้น โดยเฉลี่ยที่ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก เพื่อยกระดับคุณภาพอากาศให้ดีขึ้นและปลอดภัย  รวมทั้งจัดทำมาตรการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ โดยเริ่มต้นที่รถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะเครื่องยนต์ดีเซล ที่มีอายุการใช้งาน 5 ปีขึ้นไป เพื่อปรับปรุงเครื่องยนต์ดีเซลให้ปล่อยมลพิษไม่เกินค่ามาตรฐาน และลดการปล่อยควันดำ เนื่องจากรถเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักกว่าร้อยละ 70 ของการปล่อยฝุ่น PM 2.5 ถือเป็นมาตรการเร่งด่วนที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการ ดร.ประเสริฐ กล่าวสรุป