'อินเดีย' อีกหนึ่งทางเลือก เด็กไทยศึกษาต่อต่างประเทศ

'อินเดีย' อีกหนึ่งทางเลือก  เด็กไทยศึกษาต่อต่างประเทศ

“อินเดีย” ถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการศึกษาใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจาก สหรัฐอเมริกา และ จีน โดย อินเดีย มีมหาวิทยาลัยรวมทั้งหมดมากกว่า 800 แห่ง วิทยาลัย 39,000 แห่ง ซึ่งประกอบไปด้วยหลักสูตรที่มีคุณภาพ มาตรฐาน

เว็บไซต์ Masterstudies ระบุว่า ระหว่างปี 2543 – 2553 อินเดีย ได้สร้างมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยกว่า 2 หมื่นแห่ง เพื่อรองรับจำนวนนักศึกษากว่า 8 ล้านคนในช่วงนั้นนอกจากนี้ รัฐบาลอินเดีย ยังสนับสนุนการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จนทำให้เกิดการก่อตั้งสถาบันเทคโนโลยีหลากหลายแห่ง รวมถึงสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ และศูนย์วิจัย เพื่อความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการรักษาใหม่ๆ อีกทั้ง ความเชี่ยวชาญทางด้านคอมพิวเตอร์และไอที ด้วยการพัฒนาการศึกษาดังกล่าว และตัวเลือกที่มาก จึงเป็นสาเหตุให้นักเรียนนักศึกษาจากกว่า 140 ประเทศทั่วโลก รวมถึงเด็กไทย ปักหมุดอินเดียเป็นจุดหมายปลายทางในการศึกษาต่อ

ซานจีฟ โบเลีย ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ AFAIRS Exhibition & Media Pvt., Ltd. ผู้จัดนิทรรศการและการประชุมการศึกษาชั้นนำของเอเชีย แนะแนวการศึกษาอินเดีย อธิบายว่า เหตุผลที่เด็กไทยนิยมไปเรียนที่ประเทศอินเดีย เนื่องจาก ประเทศอินเดียมีระบบการศึกษาใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากอเมริกา และจีน มีมหาวิทยาลัยรวมทั้งหมดมากกว่า 800 แห่ง วิทยาลัย 39,000 แห่ง และโรงเรียนนานาชาติ 700 แห่ง ทั้งหลักสูตรอังกฤษ และ International Baccalaureate Programme หรือ IB ให้เลือกเรียน ซึ่งมีค่าเรียนถูกกว่าไทย ครึ่งหนึ่ง – 1 ใน 3 รวมถึงมีระยะทางที่ใกล้ โดยใช้การเดินทางเพียง 2-3 ชั่วโมงจากไทยถึงอินเดีย มีวัฒนธรรมและอาหารคล้ายกับไทย ที่พัก สังคม สิ่งแวดล้อม มีความปลอดภัยมากขึ้น

157910468740

“ทั้งนี้ ขั้นตอนการดำเนินการศึกษาต่อในอินเดีย ปัจจุบัน ดำเนินการได้ง่าย เนื่องจากรัฐบาลอินเดีย ค่อนข้างโปรโมตและสนับสนุนให้เด็กต่างชาติ เข้ามาศึกษาต่อ ดังนั้น ขั้นตอนการขอวีซ่าจึงไม่ยุ่งยาก มีการอำนวยความสะดวก ทั้งนี้ เมื่อ 20-30 ปีก่อน เด็กไทยนิยมไปเรียนที่ เมืองมัสซูรี และ เมืองเดห์ราดูน ซึ่งเป็นพื้นที่บนเขานอกเมือง แต่ปัจจุบัน ด้วยความที่เมืองขยาย ระบบการศึกษาขยายมากขึ้น จึงมีตัวเลือกที่หลากหลาย” ซานจีฟ กล่าว

  • บริหาร-ไอทีหลักสูตรยอดนิยม

ทั้งนี้ เด็กไทยที่เดินทางไปเรียนในอินเดียส่วนใหญ่กว่า 90% จะอยู่โรงเรียนประจำ และ 10% คือ เด็กไทยที่มีบ้านหรือครอบครัวทำงานที่นั้น สำหรับเด็กที่อยู่โรงเรียนประจำจะมีอาหารไทยให้ทานอาทิตย์ละ 2 ครั้ง และมีการพาเด็กๆ ไปเที่ยวผ่อนคลายนอกพื้นที่ นอกจากนี้ ยังมีประเพณี วัฒนธรรม วันหยุด ที่คล้ายกับประเทศไทย ขณะที่นักศึกษาต่างชาติที่มาเรียนต่อมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่จะมีโฮสเทล อยู่ภายในมหาวิทยาลัย สำหรับให้นักศึกษาพักอาศัย

ซานจีฟ อธิบายว่า เด็กไทยส่วนใหญ่ที่ไปเรียนมหาวิทยาลัย จะนิยมเรียนทางด้านบริหาร และ ไอที ในเมืองบังกาลอร์ เมืองปูเน่ และ เมืองเดลี เนื่องจากทางด้านไอที เป็นที่รู้กันในวงกว้างว่าประเทศอินเดียค่อนข้างแข็งแรง เพราะฉะนั้นเด็กไทยจึงสนใจทางด้านนี้ และส่วนใหญ่ชอบเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชน ทั้งนี้ ปัจจุบันอินเดียมีความปลอดภัย สามารถมั่นใจได้ในเรื่องการเดินทาง และการใช้ชีวิต

  • Top5โรงเรียน-มหาวิทยาลัย

ซานจีฟ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ Top 5 โรงเรียนนานาชาติยอดนิยมในอินเดีย ได้แก่ อันดับ 1 Woodstock School อันดับ 2 Greenwood High International School อันดับ 3 Genesis Global School อันดับ 4 Unison World School และ อันดับ 5 The International School Bangalore (TISB)

ในส่วนของ Top 5 มหาวิทยาลัยยอดนิยม ได้แก่ อันดับ 1 Manipal University อันดับ 2 Christ (Deemed to be University) อันดับ 3 Acharya Institutes อันดับ 4 Kalinga Institute of Industrial Technology และ อันดับ 5 G.D. Goenka University

“นักเรียนต่างชาติที่ไปเรียนที่โรงเรียนอินเดียส่วนใหญ่ มาจากประเทศไทย และ เกาหลีใต้ เนื่องจากโรงเรียนในอินเดีย จะสอนหลักสูตรนานาชาติ เรียนเป็นภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เด็กที่มาเรียนที่นี่จะไปเรียนต่อที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ เพราะพื้นฐานภาษาอังกฤษค่อนข้างแข็งแรง รวมถึงคอมพิวเตอร์ และดนตรี อีกด้วย”

157910468441

ขณะเดียวกัน ก็มีนักเรียนกว่า 140 ประเทศทั่วโลกที่นิยมมาเรียนในระดับมหาวิทยาลัยในประเทศอินเดีย โดยหลักสูตร ป.ตรี ส่วนใหญ่จะใช้เวลาเรียน 3 ปี เว้นแต่ด้านวิศวกรรมศาสตร์ในบางสาขาจะใช้เวลาเรียน 4 ปี และปริญญาโท 1- 2 ปี นอกจาก อินเดียจะเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของนักเรียนต่างชาติแล้ว ในส่วนของนักเรียนนักศึกษาของอินเดียเอง ก็เดินทางไปศึกษาต่างประเทศเช่นเดียวกัน ซึ่งประเทศที่เป็น อันดับ 1 ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อันดับ 2 แคนาดา และออสเตรเลีย อันดับ 3 นิวซีแลนด์ และ อังกฤษ ส่วนประเทศจีนมีไปเรียนต่อบ้างแต่ไม่มาก

ทั้งนี้ ล่าสุด สภาวัฒนธรรมแห่งอินเดีย เปิดให้ทุนการศึกษาปีการศึกษา 2563-2564 สำหรับนักเรียนไทยที่ประสงค์ศึกษาต่อระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอกในสาขาวิชาต่างๆ ที่ประเทศอินเดีย ยกเว้นสาขาแพทยศาสตร์ หลักสูตรเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์ (อาทิ พยาบาล กายภาพบำบัด ฯลฯ) และแฟชั่น โดยสิ่งที่นักเรียนทุนจะได้รับ ได้แก่ ทุนค่าเล่าเรียนตลอดหลักสูตร ทุนค่าใช้จ่ายรายเดือน (ขึ้นอยู่กับวุฒิการศึกษาที่เรียน)  ทุนค่าที่พัก ทุนค่าหนังสือประจำปี  และทุนค่าวิทยานิพนธ์และโครงงานจบการศึกษา โดยสามารถยื่นใบสมัครออนไลน์ได้ที่ http://a2ascholarships.iccr.gov.in/ ถึงวันที่ 31 มกราคมนี้  

  • นิทรรศการศึกษาต่ออินเดีย

ซานจีฟ กล่าวเสริมว่า เร็วๆ นี้ ทางบริษัท จะมีการจัดงานนิทรรศการศึกษาต่ออินเดีย The Great India Education Fair 2563 ครั้งที่ 13 โดยภายในงาน จะมีบูธจากทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัยชั้นนำของอินเดีย เข้าร่วมให้คำแนะนำ กว่า 50 บูธ แบ่งเป็น โรงเรียนนานาชาติ ตั้งแต่เกรด 3 – 12 ทั้งหญิงล้วน ชายล้วน และสหศึกษา จำนวน 40 แห่ง และมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 10 แห่ง

นอกจากนี้ ยังเปิดเวทีสัมมนา แนะแนว ให้กับน้องๆ นักเรียน นักศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครอง และบุคคลที่สนใจ ที่จะศึกษาต่ออินเดียได้ซักถาม รวมถึงการแสดง และตัวแทนนักเรียนไทยที่จะมาบอกเล่าประสบการณ์การเรียน การใช้ชีวิต ในอินเดีย โดยงานจะจัดตั้งแต่เวลา 10.00 – 19.00 น. ในวันที่ 15 – 16 กุมภาพันธ์ 2563 ณ สามย่านมิตรทาวน์

“สำหรับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้ จะมีทุนการศึกษาโดยเป็นทุนให้เปล่า แก่เด็กไทยที่มีความสามารถ เช่น ในด้านดนตรี กีฬา และเรียนดี ทั้งให้ทุนบางส่วน และให้ทุน 100% นอกจากนี้ ยังได้จัดนิทรรศการ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษาในพื้นที่ต่างๆ ทั้งในอินเดีย เกาหลีใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน มาเลเซีย เนปาล บังคลาเทศ ภูฏาน และศรีลังกา อีกด้วย โดยในปีนี้ คาดว่าจะมีน้องๆ เยาวชนไทย ให้ความสนใจกว่า 4 พันคน สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊คแฟนเพจ : The Great India Education Fair Thailand” นายซานจีฟ กล่าวทิ้งท้าย