นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในปี 2562 ที่ชะลอตัว กระทบต่อภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งพบว่าบ้านจดทะเบียนเพิ่มตั้งแต่ม.ค.-ต.ค.2562 มีจำนวนลดลง 22% หรือ 73,031 ยูนิตเทียบช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนมีจำนวน 93,636 ยูนิต ประเภทบ้านเดี่ยวลดลง 2.7% บ้านแฝดเพิ่มขึ้น 14.2% ทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น4.9% คอนโดลดลง 29.8%
ทำให้ยอดขายของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 33,000 ล้านบาท ทำได้เพียง 25,000ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม30,535 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นแนวราบ
อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดอสังหาฯจะค่อยๆมีทิศทางดีขึ้น ซึ่งต้องอาศัยระยะเวลา โดยเฉพาะคอนโด จะเป็นตลาดที่ใช้เวลานานกว่าบ้านแนวราบ เนื่องจากเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบมากสุด มีสต็อกคงค้างในตลาดจำนวนมากในหลายพื้นที่คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปีจากนี้จึงจะฟื้นตัว
ประธานกรรมการฯ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ยังประเมินแนวโน้มตลาดอสังหาฯในปี 2563 ว่า ดีที่สุดแค่ทรงตัว เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกอะไรเข้ามาสนับสนุน ทำให้บริษัทมีแผนเปิดขายโครงการใหม่รวม 16 โครงการ (เท่ากับปี 2562) มูลค่าโครงการรวม 28,440 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 13 โครงการ และโครงการต่างจังหวัด จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย ในจังหวัดอยุธยา, จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดภูเก็ต ประกอบด้วย โครงการประเภทบ้านเดี่ยว จำนวน 11 โครงการ, โครงการประเภทบ้านแฝด จำนวน 3 โครงการ ซึ่งเป็นตลาดที่น่าสนใจ เพราะเริ่มได้รับการยอมรับจากกลุ่มผู้ลูกค้ามากขึ้นโดยเฉพาะโซนบางนา ที่มีศักยภาพในการขยายตัว ระดับราคา4-6ล้านบาท และโครงการประเภททาวน์เฮ้าส์ จำนวน 3 โครงการ
“ปี 2563 บริษัทยังชะลอการลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมเนื่องจากเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด อย่างไรก็ตามหากมีที่ดินหรือมีโอกาสในการลงทุนบริษัทก็พร้อมที่จะลงทุนพัฒนา ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย 78 โครงการ เป็นโครงการในกรุงเทพฯและปริมณฑล 50 โครงการ และต่างจังหวัด 28 โครงการ และมีคอนโดมิเนียมรอขายมูลค่า 10,000 ล้านบาทในจำนวนนี้เป็นคอนโดสร้างเสร็จมูลค่า 4,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 6,000 ล้านบาท”
นายนพร ยังกล่าวว่า ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้ซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 7,000 ล้านบาท โดยจะเป็นการซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการแนวราบทั้งหมด ซึ่งทำเลจะขึ้นอยู่กับการยอมรับรู้ผู้บริโภค เนื่องจากปัจจุบันโครงสร้างพื้นฐานในด้านการคมนาคมได้ขยายตัวไปในวงกว้างมาก ทำให้ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องย้ายถินฐานใหม่ ส่วนงบลงทุนที่เหลืออีก4,000 ล้านบาท จะใช้ลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า ภายในประเทศไทย ประมาณ 3-5 โครงการ โดยจะใช้ลงทุนในโครงการต่อเนื่องราว 2,000 ล้านบาท หรือประมาณ 50%
นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะขายอพาร์ทเมนท์ในสหรัฐอเมริกา จำนวน 1 แห่ง ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาเลือกโครงการ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้บริษัท ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีโครงการอพาร์ทเมนท์ในสหรัฐอเมริการวม จำนวน 4 แห่ง มีห้องพักรวม 800 ห้อง มูลค่าการลงทุนรวม 450 ล้านดอลลาร์ ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อเข้าลงทุนในโครงการประเภทอพาร์ทเมนท์ในสหรัฐเพิ่มอย่างต่อเนื่อง
โดยในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย (Presale) ไว้ที่ 28,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 7-8% จากปีก่อน แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ 24,000-25,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 82% (บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 73%, ทาวน์เฮ้าส์ 9%) และยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 18% โดยสัดส่วนยอดขายจะมาจากเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ประมาณ 89% และต่างจังหวัด 11%