Selective Buy

Selective Buy

ความผันผวนของหุ้นกลุ่มธนาคารที่เข้าสู่ช่วงประกาศงบปี 2019 จะกดดันให้ดัชนีแกว่งตัวผันผวนสูง

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ปิดทรงตัว +0.74 จุด (+0.05%) ที่ระดับ 1,587 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6 หมื่นล้านบาท โดยแม้ว่าภาวะตลาดจะได้ปัจจัยบวกสหรัฐ-จีนเตรียมลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกในวันที่15 ม.ค. อย่างไรก็ตามแรงขายกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรฯตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลงและค่าการกลั่นที่ติดลบเป็นแรงกดดันให้ดัชนีแกว่งตัวและปิดบวกเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 843 ล้านบาท และขายสุทธิในตลาดพันธบัตร 2,144 ล้านบาท แต่ Net Long TFEX 3,688 สัญญา

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เรามีมุมมองเป็นกลางคาด SET Index แกว่งตัว 1,580 - 1,593 จุด โดยแม้ว่าจะมีปัจจัยบวกสหรัฐ-จีนเตรียมลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกในวันนี้ แต่มีกระแสข่าวว่าสหรัฐจะไม่ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในปัจจุบันจนกระทั่งหลังการเลือกตั้งสหรัฐในช่วงเดือนพ.ย.จึงจะเริ่มทบทวนการปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 3.6 แสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้นักลงทุนมีความไม่มั่นใจในทิศทางการค้าระหว่างสหรัฐ-จีนในอนาคต นอกจากนี้กระแส Fund flow ต่างชาติที่ยังคง Net Sell ต่อเนื่อง 4 วันราว 3 พันลบ. รวมถึงความผันผวนของหุ้นกลุ่มธนาคารที่เข้าสู่ช่วงประกาศงบปี 2019 ซึ่งจะกดดันให้ดัชนีแกว่งตัวผันผวนสูง

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่ม Defensive และงบ 4Q19F คาดว่าจะออกมาดีและดีต่อเนื่องในปีนี้: GPSC, GULF, JMT , CPF, SAWAD, MTC, BTS, BEM, INTUCH, ADVANC และ DTAC
  • กลุ่มโรงพยาบาล BCH CHG RJH ประกันสังคมมีมติปรับขึ้นค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้ประกันตนราว 8-10%
  • กลุ่มเครื่องดื่ม OSP CBG HTC ICHI SAPPE  อานิสงส์ภัยแล้งที่รุนแรงและยาวนานจนถึงกลางปี
  • กลุ่มอิเล็คฯ HANA, KCE, DELTA รับอานิสงส์ Trade war ผ่อนคลายและเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง

หุ้นแนะนำวันนี้

  • BCH (ปิด 16 ซื้อ เป้า IAA Consensus 20 บาท) ได้ Sentiment บวกจากข่าวประกันสังคมปรับเพิ่มค่ารักษาพยาบาลขึ้น 10% มอง BCH และ CHG ได้ประโยชน์สูงสุดเพราะมีสัดส่วนลูกค้าประกันสังคมสูงสุดของกลุ่ม (ทุกๆ1% ของรายได้ประกันสังคมที่เพิ่มขึ้นจะหนุนกำไรสุทธิของ BCH เพิ่มขึ้นประมาณ 1%)
  • CPF (ปิด 29.25 ซื้อ/เป้า 33.5) คาดทิศทางผลกำไร 4Q19 และต่อเนื่องไปยัง 1Q20 จะยังดีต่อเนื่อง ตอบรับราคาหมูในประเทศฟื้นตัวขึ้นสู่ระดับ 73-74 บาท ต่อ ก.ก.เทียบจาก 55 บาทต่อ ก.ก.ในช่วง 2Q19-3Q19  เช่นเดียวกับราคาหมูเวียดนามที่ฟื้นตัวขึ้นกว่าเท่าตัวจากระดับ 33,000 ดองต่อ ก.ก. ขึ้นเป็น 80,000 ดองต่อก.ก. ในปัจจุบัน

บทวิเคราะห์วันนี้

RS (ปิด 12.3 ถือ/เป้าใหม่ 13.4 เดิม 14.5), Energy sector (Top pick: TOP)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (+) กลุ่มโรงพยาบาล – ประกันสังคมมีมติปรับขึ้นค่ารักษาพยาบาลให้ผู้ประกอบการประมาณ 10% ส่งผลบวกโดยตรงต่อ BCH และ CHG: วานนี้ที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคม (SSO) มีมติให้ปรับขึ้นค่ารักษาพยาบาลประกันสังคม ประกอบด้วย 1) ค่ารักษาพยาบาลประกันสังคมเหมาจ่ายรายหัว เป็น 1,640 บาท เดิม 1,500 บาท หรือเพิ่มขึ้น 9%, 2) กลุ่มผู้ป่วยในที่มีค่าใช้จ่ายสูง (AdjRW>2) ปรับขึ้นเป็น 746 บาท เดิม 640 บาท (+16%) และ กลุ่มผู้ป่วย OPD โรคเรื้อรังปรับขึ้นเป็น 453 บาท จากเดิม 447 บาท (+1.3%) รวมการปรับขึ้นเป็น 2,839 ล้านบาทเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.7% ถือว่าเป็นไปตามที่ตลาดส่วนใหญ่มีการคาดการณ์ไว้ เป็นบวกโดยตรงต่อกลุ่มผู้ประกอบการโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนลูกค้าประกันสังคมสูง อาทิ BCH และ CHG โดยทุกๆ 1% ของค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มกำไรให้กับ BCH และ CHG ประมาณ 1% เช่นกัน
  • (-) หุ้นโรงกลั่นร่วงแรงจากข่าวจีนอุดหนุนการผลิตน้ำมัน LSFO มองผลกระทบไม่ได้รุนแรง ราคาที่ลดลงยังมองเป็นโอกาสซื้อ Top pick - TOP: ราคาหุ้นโรงกลั่นปรับตัวลดลงค่อนข้างแรงในช่วงสัปดาห์นี้จาก 1)ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงสู่ภาวะปกติหลังเหตุการณ์ในตะวันออกกลางคลี่คลาย 2) ค่าการกลั่นยังทรงตัวในระดับต่ำจากความต้องการน้ำมันเบนซินที่ลดลงในช่วงฤดูหนาวของชาติตะวันตก และ 3) มีข่าวจีนอุดหนุนให้ผู้ประกอบการโรงกลั่นผลิตน้ำมันเตาที่มีกำมะถันต่ำ ซึ่งเรามองว่าปัจจัยที่ 3 เป็นตัวเร่งให้นักลงทุนเทขายหุ้นโรงกลั่นเพิ่มขึ้น เนื่องจากตลาดยังไม่มีรายละเอียดของข้อมูลทำให้หวั่นวิตก อย่างไรก็ตามจากศึกษาเพิ่มเติมเรามองว่าตลาดตอบรับกับปัจจัยดังกล่าวมากเกินไป เนื่องจากปัจจุบันจีนมีกำลังการผลิต LSFO ประมาณ 1.5 ล้านตันต่อเดือน และมีการบริโภคปริมาณ 1 ล้านตันต่อเดือน เท่ากับว่าจีนสามารถส่งออกได้ประมาณ 5 แสนตันต่อเดือน อย่างไรก็ตามในภูมิภาคเอเชียมีความต้องการใช้ LSFO ทั้งหมด 8 ล้านตันต่อเดือน และมีการผลิตจริงเพียง 3 ล้านตันต่อเดือน ฉะนั้นแม้จีนจะส่งออก LSFO สู่ตลาด 5 แสนตันหรือ 1.5 ล้านตันต่อเดือนก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการในตลาด ดังนั้นหากราคาหุ้นลงด้วยปัจจัยนี้จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการฟื้นตัวหรือเกิด Technical rebound ขึ้นมาได้
  • (+/-) กลุ่มธนาคาร- TISCO ประกาศผลกำไรโดยรวมยังแข็งแกร่ง, KBANK ซื้อธนาคารในพม่ามูลค่าเข้าซื้อค่อนข้างต่ำจึงไม่น่ากังวลเหมือน BBL ซื้อธนาคารในอินโดฯ: TISCO ประกาศผลกำไรปี 4Q19 ที่ 1,865 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด และรวมทั้งปีมีกำไรสุทธิ 7,270 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.6% ภาระหนี้ NPL ไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างที่ตลาดกังวล อีกทั้งยังมีข่าวดีเพราะมีโอกาสที่บริษัทจะกลับรายการตั้งสำรองส่วนเกินกลับมาบันทึกกำไรได้โดย TISCO มีเงินสำรองส่วนเกินประมาณ 2,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้ในภายใน 5 ปี ส่วนข่าว KBANK เข้าซื้อหุ้นธนาคารเพื่อการพัฒนาเกษตรในพม่า หรือ A Bank ในสัดส่วน 35% เรามองว่าดีลนี้มีมูลค่าค่อนข้างเล็ก (A Bank มีมูลค่าสินทรัพย์ประมาณ