โลกาภิวัตน์ 'อ่อนแรง' ฉุดการค้า-เศรษฐกิจโลก 'โตต่ำ'

โลกาภิวัตน์ 'อ่อนแรง' ฉุดการค้า-เศรษฐกิจโลก 'โตต่ำ'

PwC ประเทศไทย เปิดเผยรายงาน  Global Economy Watch ฉบับล่าสุด คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี2563 เติบโต 3.4%  จากค่าเฉลี่ยศตวรรษที่21 ที่ 3.8%  ต่อปี  และเข้าสู่ภาวะชะลอตัวของโลกาภิวัตน์ (Slowbalisation)

 โดยได้รับแรงกดดันจากความตึงเครียดทางการค้า ที่ยังคงเป็นความท้าทายต่อการจัดระเบียบห่วงโซ่อุปทาน และการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศต่าง ๆ ในระยะต่อไป

 “ศิระ อินทรกำธรชัย”  ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า  ภาคบริการจะยังคงเป็นดาวเด่นของการค้าโลก มูลค่าการบริการส่งออกทั่วโลกจะสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 7 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 212.56 ล้านล้านบาท)ในปี 2563 โดยสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรจะยังคงเป็นประเทศผู้ส่งออกบริการชั้นนำของโลกและคาดว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนจะสามารถแซงหน้าฝรั่งเศสขึ้นเป็นอันดับที่ 4 ได้ในปีนี้

 “บาร์เร็ต คูเพเลียน” นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ PwC ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า โลกาภิวัตน์เป็นตัวขับเคลื่อนปรากฏการณ์และทิศทางของเศรษฐกิจโลกมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 แต่ในช่วงที่ผ่านมา ปริมาณของสินค้าทั่วโลกได้ชะลอตัวอย่างมาก และเกือบเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีที่ผ่านมา ประกอบกับประเด็นเรื่องกลไกระงับข้อพิพาทขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่ยังคงชะงักงันแม้จะมีหารือไปเมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป จึงเป็นประเด็นที่ท้าทายการค้าโลกในระยะต่อไป 

“เป็นที่แน่ชัดว่า เรากำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัวของโลกาภิวัตน์ หรือ Slowbalisation โดยการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจและการค้ายังคงดำเนินต่อไปแต่จะเติบโตในอัตราที่ช้าลง  เมื่อเชื่อมโยงภาพของปริมาณการค้าและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน  จะเห็นการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในปี 2563”

นอกจากนี้ PwC ยังคาดการณ์ว่า กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก 7 ประเทศ (G7)  จะยังคงสร้างงานต่อไป โดยจะมีตำแหน่งงานใหม่เกิดขึ้นราว ๆ 2 ล้านตำแหน่ง โดย 4 ใน 5 ของตำแหน่งงานใหม่ในกลุ่ม G7 จะอยู่ในสหรัฐฯ อังกฤษ และญี่ปุ่น ในขณะที่แหล่งทรัพยากรแรงงานในกลุ่ม G7 ค่อย ๆ ลดลง เราประเมินว่าผลประกอบการจะยังคงอยู่ในภาวะขาขึ้น แต่การขาดการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตอาจจะทำให้อัตรากำขั้นต้นของบริษัทถูกบีบได้

เช่นเดียวกัน องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ILO) คาดว่า กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ 7 ประเทศ ประกอบด้วย จีน อินดีย บราซิล รัสเซีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก และตุรกี ( E7 ) จะสร้างงานประมาณ 8 ล้านตำแหน่ง โดยไอแอลโอคาดการณ์ว่า การจ้างงานในกลุ่ม G7 จะมีการกระจายตัวอย่างเท่าเทียมระหว่างผู้ชายและผู้หญิง แต่การจ้างงานภายในกลุ่ม E7 ไอแอลโอคาดว่า การจ้างงานจะมีการกระจายตัวอย่างเท่าเทียมกันน้อยกว่าทั่วทุกเพศ

ตามประมาณการล่าสุดของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ในปี 2562 อินเดียได้แซงหน้าอังกฤษและฝรั่งเศสขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก และมีแนวโน้มว่า ในปี 2568 อินเดียจะแซงหน้าเยอรมนี และญี่ปุ่นก่อนปี 2073 ขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกเป็นอันดับที่ 3 รองจากจีนและสหรัฐฯ ขณะที่ฝรั่งเศสและอังกฤษจะแข่งกันเป็นอันดับที่ 6 โดยมีตัวแปรสำคัญคือ ค่าเงินปอนด์เทียบกับเงินยูโรซึ่งจะยังคงมีความผันผวนอยู่ในปี 2563

PwC ยังคาดการณ์ด้วยว่า การใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลกจะมีสัดส่วนมากกว่า 20% ของการใช้พลังงานทั่วโลก ซึ่งสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งการใช้พลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวและการปรับทัศนคติของภาคธุรกิจ ภาคครัวเรือน และภาครัฐ

ทั้งนี้ คาดว่า จีนจะเป็นผู้ใช้พลังงานประเภทนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกตามมาด้วยยุโรป อย่างไรก็ตาม คาดว่า น้ำมันจะยังคงเป็นแหล่งพลังงานที่มีการบริโภคมากที่สุดในปี 2563 ตามมาด้วยถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ โดยสหรัฐฯ และจีนจะยังคงเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกในปีนี้

ในปี 2563 คาดว่า จำนวนประชากรโลกจะสูงถึง 7.7 พันล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับทศวรรษที่ผ่านมา โดย คาดว่าจีน อินเดีย และ แอฟริกาใต้ เขตตอนใต้ทะเลทรายซาฮาราจะช่วยผลักดันการเติบโตของประชากรโลกให้เพิ่มขึ้นกว่าครึ่งหนึ่งในทุก ๆ ปี  ขณะเดียวกันคาดว่า จำนวนประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปีทั่วโลกจะมีมากกว่า 1 พันล้านคน โดยจีนจะมีจำนวนประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปีสูงกว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ใหญ่ที่สุดของโลก 6 แห่งรวมกันด้วย

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย " ศิระ"  บอกกว่า  แนวโน้มเศรษฐกิจของไทยปี 2563 กำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวของโลกาภิวัตน์ไม่แตกต่างจากเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( GDP )ปีนี้จะเติบโตต่ำกว่า 3% โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยว และแรงหนุนจากการลงทุนของภาครัฐ และการบริโภคภายในประเทศ

 แต่อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทุกคนต้องติดตามในปีนี้ คือ สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านว่า จะยืดเยื้อและขยายผลออกไปในวงกว้างหรือไม่ นี่ยังไม่รวมถึงปัจจัยลบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงกดดันเศรษฐกิจไปทั่วโลก และทำให้ค่าเงินบาทผันผวนอยู่ในเวลานี้ ซึ่งอาจส่งผลต่อภาคการส่งออกของไทยอย่างต่อเนื่องในปีนี้