3 เรื่อง 'ร้อน' ต้อนรับโลกปี 2563

3 เรื่อง 'ร้อน' ต้อนรับโลกปี 2563

ความเสี่ยง 3 เรื่องใหญ่ ทั้งภาวะโลกร้อน ความขัดแย้งทางทหารเกี่ยวกับอิหร่าน และข้อพิพาทระหว่างสหรัฐกับจีน จะกลายเป็นเรื่องสุดร้อนที่กระทบทิศทาง-เสถียรภาพเศรษฐกิจและการเมืองโลกในปี 2020

เราจบปี 2562 ด้วยความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะท้าทายมากจากความไม่แน่นอนหลายอย่างที่มีอยู่

ซึ่งความห่วงใยหลักคือ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีน ที่ได้นำไปสู่การกีดกันทางการค้าและสงครามการค้า จนบานปลายเป็นสงครามเย็นระหว่างเศรษฐกิจอันดับหนึ่งและอันดับสองของโลก ถือเป็นเรื่องร้อนที่ตลาดการเงินโลกได้เตรียมตัวเตรียมใจกับผลที่จะเกิดขึ้น

แต่ผ่านมาไม่ถึงครึ่งเดือนแรกของปี 2563 โลกก็เจอกับอีกสองเหตุการณ์ที่พูดได้ว่าเป็นเรื่องร้อนกว่า นั่นก็คือภาวะโลกร้อนที่มากับไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ที่ออสเตรเลีย ลุกลามต่อเนื่องมานานกว่า 5 เดือนและยังไม่ยุติ กับกรณีลอบสังหารนายพลซูลีมานี อดีตผู้บังคับบัญชากองกำลังคุดส์ ผู้ทรงอิทธิพลของอิหร่าน จากการปฏิบัติการของสหรัฐ ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงว่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นตามมาแน่นอนในอิรัก ตะวันออกกลาง และหลายพื้นที่ของโลก จากที่อิหร่านคงมีมาตรการตอบโต้ที่รุนแรง ซึ่งจะมีผลอย่างสำคัญต่อเสถียรภาพและความปลอดภัยในเศรษฐกิจและการเมืองโลกในปีนี้ นี่คือ 3 เรื่องร้อนต้อนรับโลกปี 2563

อาทิตย์ที่แล้วมีการเปิดเผยรายงานสิบความเสี่ยงสำคัญสำหรับกลุ่มประเทศเอเชียกลาง ปี 2563 หรือ Top 10 Eurasia Risks 2020 จัดทำโดยแอสตาน่าคลับ ประเทศคาซัคสถาน รายงานระบุความเสี่ยงสิบเรื่องที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียกลางและโลกจะเผชิญในปี 2020 รวบรวมความเห็นจากบุคคลระดับมืออาชีพจากสาขาต่างๆ นักธุรกิจ นักวิชาการ รวมแล้วกว่าพันคน บวกกับความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิทั่วโลกอีกกว่า 40 คน โดยรายงานได้ระบุความเสี่ยงสำคัญต่อโลกปีนี้ เรียงลำดับตามความสำคัญ ดังนี้

1.ผลตามมาหรือ aftershocks จากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

2.ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย

3.ข้อพิพาทระหว่างสหรัฐและจีนที่รุนแรงขึ้น

4.การแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์

5.สงครามแย่งชิงความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี

6.ความขัดแย้งทางทหารเกี่ยวข้องกับอิหร่าน

7.วิกฤตินิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือ

8.การก่อการร้ายรูปแบบใหม่

9.ความรุนแรงของลัทธิชาตินิยมและประชานิยม

และ 10.ปัญหาโลกร้อนที่จะแพร่ไปทั่ว

นี่คือสิบประเด็นความเสี่ยงสำหรับโลกปี 2563 ความเสี่ยงดังกล่าวชี้ชัดเจนว่าเสถียรภาพและความปลอดภัยในเศรษฐกิจและการเมืองโลกจากนี้ไปค่อนข้างเปราะบาง เป็นผลจากความขัดแย้งระหว่างประเทศที่มีอยู่ในหลายมิติ เช่น เศรษฐกิจ การทหาร เทคโนโลยี นิวเคลียร์ การเมือง การก่อการร้าย รวมถึงความเสียหายจากภัยธรรมชาติ และสิ่งที่เกิดขึ้นช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมา

หลังรายงานฉบับนี้มีการเผยแพร่ ก็ตอกย้ำว่าความเสี่ยงทั้งสิบเรื่องนี้เป็นสิ่งที่มองข้ามหรือประมาทไม่ได้ โดยเฉพาะความเสี่ยงใหญ่ 3 เรื่อง คือ ภาวะโลกร้อน ความขัดแย้งทางทหารเกี่ยวกับอิหร่าน และข้อพิพาทระหว่างสหรัฐกับจีน ที่ได้กลายเป็นเรื่องร้อนสุดที่จะกระทบทิศทางและเสถียรภาพของเศรษฐกิจและการเมืองโลกในปีนี้

วันนี้ผมอยากจะเขียนถึงประเด็นร้อนประเด็นแรก คือ ภาวะโลกร้อน และตั้งใจจะเขียนถึงความเสี่ยงอื่นๆ ในโอกาสต่อไป

ตั้งแต่เดือน ก.ย.ปีที่แล้ว ออสเตรเลียได้เผชิญกับไฟไหม้ป่าที่รุนแรงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในช่วงหลายสิบปี เกิดในหลายพื้นที่และในทุกรัฐของประเทศ รวมถึงใกล้เมืองใหญ่อย่างเมลเบิร์นและซิดนีย์ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ล่าสุด พื้นที่กว่า 45.3 ล้านไร่ ได้ถูกเผาทำลายโดยไฟป่า เป็นความสูญเสียมากกว่ากรณีไฟป่าที่เกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนีย และป่าอะเมซอน ประชาชนในออสเตรเลียกว่า 30 คนเสียชีวิตและสัตว์กว่า 500 ล้านตัวถูกทำลาย ที่สำคัญการลุกลามของไฟป่าอาจมีต่อไปอีกหลายเดือน เนื่องจากออสเตรเลียขณะนี้อยู่ในช่วงฤดูร้อนและสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นก็ต่อเมื่ออากาศเริ่มเย็นลง แต่ไฟป่าก็จะกลับมาอีกเมื่ออากาศกลับมาร้อนใหม่ เป็นแบบนี้ทุกปี และแต่ละปีความน่ากลัวก็มีมากขึ้นๆ

ความรุนแรงของไฟป่าที่ออสเตรเลียสะท้อนชัดเจนถึงปัญหาโลกร้อนที่โลกกำลังเผชิญจากอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้พื้นดินแห้งแล้ง ความชุ่มชื้นมีน้อย และเกิดไฟป่าได้ง่าย ที่สำคัญความรุนแรงของไฟป่าส่งผลกระทบต่อผลผลิตในภาคการเกษตร ความเพียงพอของน้ำ และคุณภาพของอากาศ นอกจากนี้ อุณหภูมิที่สูงก็ทำให้ระดับน้ำในทะเลเพิ่มขึ้นจากการละลายของน้ำแข็ง ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมรุนแรงสลับกับภัยแล้งอย่างที่เห็น นี่คือผลจากภาวะโลกร้อน

รายงานสิบความเสี่ยงโลกของเอสตาน่าคลับ ให้ความเห็นเรื่องนี้ว่าแม้ภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อนจะเกิดขึ้นต่อเนื่องในทุกส่วนของโลก เช่น ล่าสุดก็ไฟป่าในไซบีเรียที่ป่ากว่า 4.4 ล้านไร่ถูกทำลาย เช่นเดียวกับที่ยุโรป และอินโดนีเซียที่เกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่ ปัญหาการขาดแคลนน้ำกำลังกระทบความเป็นอยู่ของคนกว่า 1,800 ล้านคนใน 17 ประเทศ โดยเฉพาะตะวันออกกลางและเอเชียกลาง ซึ่งเป็นผลจากอุณหภูมิโลกที่ร้อนขึ้น นำมาสู่ปัญหาความเพียงพอของอาหารที่กระทบคนกว่า 820 ล้านคนทั่วโลก

แต่ถึงปัญหาจะรุนแรง ความพร้อมของประเทศต่างๆ ที่จะร่วมมือกันบรรเทาหรือแก้ไขปัญหาโลกร้อนกลับไม่ไปไหน ผลสำรวจล่าสุดชี้ว่าร้อยละ 51 ของผู้ทรงคุณวุฒิเรื่องนี้เชื่อว่าประเทศทั่วโลกยังจะไม่ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ทำให้ปัญหาโลกร้อนจะรุนแรงมากขึ้นต่อเนื่อง และจะทำให้เกิดปัญหาผู้ลี้ภัยที่คนจะอพยพออกจากประเทศตนเอง ไม่ใช่เพราะเรื่องสงครามหรือโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่อพยพหนีภัยธรรมชาติที่ทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในประเทศตน มีการประมาณการว่าถ้าปัญหายังไม่ดีขึ้น จำนวนผู้อพยพจากภัยธรรมชาติอาจมีมากถึง 143 ล้านคนภายในปี 2593 นี่คือความรุนแรงของปัญหา

ด้วยเหตุนี้ ปี 2563 อาจเป็นปีที่เราจะเห็นคนหนุ่มสาวที่ต้องอยู่กับปัญหานี้ต่อไปทั้งชีวิต จะออกมาเรียกร้องให้มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเข้มแข็งและจริงจัง หยุดการให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจ มาให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่อย่างยั่งยืนของโลกและมนุษยชาติ ทำให้ข้อขัดแย้งทางความคิดระหว่างวัยโดยเฉพาะระหว่างการเติบโตของเศรษฐกิจ และความยั่งยืนจะมีให้เห็นมากขึ้นในเวทีสาธารณะ

แต่ ณ จุดนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ทั้งประเทศอุตสาหกรรมที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนาจะยุ่งกับเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยในปี 2563 มากกว่าที่จะให้ความสำคัญกับปัญหาโลกร้อน นอกจากนี้ ความคิดเห็นที่ยังแตกต่างกันมากในเรื่องนี้ จะทำให้ความพยายามที่จะร่วมมือกันแก้ไขปัญหายิ่งยากขึ้น

ตัวอย่างเช่นการแก้ปัญหาโดยการลดปล่อยมลพิษ ถ้ามีประเทศทำเรื่องนี้อยู่ประเทศเดียวแต่ประเทศอื่นไม่ทำ ประเทศที่ทำก็คงจะเจอกับปัญหาโลกร้อนเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และถ้าทุกประเทศลดการปล่อยมลพิษ แต่มีประเทศเดียวที่ไม่ยอมลด ประเทศที่ไม่ยอมลดก็จะได้ประโยชน์เหมือนประเทศอื่นๆ จากอากาศที่ดีขึ้น ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไร จึงชัดเจนว่าการแก้ไขปัญหาโลกร้อนเป็นปัญหาของการร่วมมือกัน (Collection Action Problem) ที่ทุกประเทศจะต้องมีบทบาท ไม่งั้นจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

สำหรับปี 2563 รายงานฉบับนี้มองว่าการแก้ไขปัญหาโลกร้อนที่ทุกประเทศจะร่วมมือกันคงจะยังไม่เกิด ส่วนหนึ่งเพราะข้อขัดแย้งที่มีอยู่ระหว่างประเทศต่างๆ ผลคือโลกจะเดินเข้าใกล้จุดไม่วกกลับของปัญหาโลกร้อนมากขึ้นๆ ขณะที่ภัยพิบัติจากภาวะโลกร้อนก็จะรุนแรงมากขึ้นต่อเนื่อง

สำหรับประเทศไทยเรื่องนี้ก็กำลังเป็นเรื่องใกล้ตัว เพราะปีนี้เราจะเจอกับภาวะภัยแล้งที่คาดว่าจะรุนแรง กระทบความเพียงพอของน้ำ ผลผลิตทางเกษตร และความเป็นอยู่ของคนจำนวนมาก สลับกับปีที่แล้วที่เราประสบปัญหาน้ำท่วมใหญ่ นี่คือผลจากภาวะโลกร้อนที่ประเทศไทยเองก็ถูกกระทบและหลีกเลี่ยงไม่ได้ และปัญหามีแต่จะร้อนขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่มีการแก้ไข