'สศก.' ห่วงสถานการณ์ตะวันออกกลาง กระทบต้นทุนสินค้าเกษตร
สศก. ชี้ สงครามสหรัฐ-อิหร่านกระทบราคาน้ำมัน ดันต้นทุนสินค้าเกษตรพุ่ง ลุ้นสงครามยืดเยื้อหวั่นลากยาวปิดช่องแคบฮอร์มูชกระทบส่งออกข้าว ยาง อาหารกระป๋อง
นายระพีภัทร จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า จากการติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่าน-สหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะส่งผลต่อการคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น 15- 20% และจะมีผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าภาคเกษตรของไทยเพิ่มขึ้นด้วย โดย ม.ค.-พ.ย.2562 ไทยนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่า 615,575ล้านบาท
ดังนั้นหากภาวะสงครามยืดเยื้อ และรุนแรง มีการปิดการเดินเรือ ณ ช่องแคบฮอร์มูซ (Hormuz strait)ซึ่งเป็นทางผ่านในการส่งสินค้ายังประเทศในตะวันออกกลางประเทศไทยจะได้รับผลกระทบในทันที เนื่องจากช่องแคบฮอร์มูซ เป็นช่องทางส่งสินค้า 70-80% ยังประเทศตะวันออกกลาง ได้แก่ คูเวต ซาอุดิอาระเบีย อารับเอมิเรต กาตาร์เยเมน โอมาน อิรัก และอิหร่าน
โดยเฉพาะภาคการเกษตร ที่มีการส่งออกผ่านเส้นทางดังกล่าว ได้แก่ ข้าว ยางพารา อาหารกระป๋อง และสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ถึงแม้จะมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางการขนส่ง ก็ยังคงกระทบต่อภาระค่าขนส่งที่สูงขึ้น
ขณะที่การส่งออกไทยไปสหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นไปอย่างปกติ เนื่องจากไทยใช้เส้นทางอื่นในการขนส่งสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ อีกทั้งไทยยังมีโอกาส ในการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าเกษตรและอาหาร โดยยางพารามีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ การส่งออกอาหารกระป๋อง และข้าว เพื่อการกักตุนในช่วงตึงเครียด
นอกจากนี้ไทยยังมีโอกาสได้คู่ค้าใหม่ๆที่เป็นคู่ค้าเก่าของสหรัฐ ในตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น เช่นการส่งออกข้าว เพื่อทดแทนการนำเข้าข้าวสาลี (wheat)จากสหรัฐอเมริกา ของประเทศแถบตะวันออกกลาง เป็นต้น
อย่างไรก็ตามสถานการณ์เมื่อ 9 ม.ค. การตอบโต้ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงไม่รุนแรง ถึงแม้อิหร่าน จะตอบโต้โดยการยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพสหรัฐในอิรัก แต่ยังไม่มีสัญญานการตอบโต้กลับที่รุนแรงจากอเมริกา และนานาชาติต่างเห็นพ้องให้ยุติด้วยสันติวิธี สถานการณ์จึงยังคงไม่รุนแรง แต่สถานการณ์ ก็ยังไม่สามารถวางใจได้
"ไม่ว่าจะกระทบมากน้อยอย่างไร ไทยต้องเตรียมรับสถานการณ์ ในกรณีที่เกิดความยืดเยื้อ เพราะ ความรุนแรง จะส่งผลกระทบกับคู่ค้าของไทยแน่"