ค้าปลีกยันสนองนโยบายงดใช้ถุงพลาสติก

ค้าปลีกยันสนองนโยบายงดใช้ถุงพลาสติก

กรมการค้าภายใน หารือร่วมตัวแทนห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ยัน ร่วมมือภาครัฐ งัดแคมเปญจูงใจลูกค้าเลิกใช้ถุงพลาสติก

นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน  กล่าวภายหลังการประชุมหารือผลกระทบจากนโยบายการเลิกใช้ถุงพลาสติก ร่วมกับตัวแทนผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ ว่า หลังจากนโยบายเลิกใช้ถุงพลาสติกมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา ทางห้างสรรพสินค้าได้รับผลกระทบทั้งแง่บวกและแง่ลบ มีถูกตำหนิต่อว่าเพราะประชาชนยังไม่ปรับตัวแต่เอกชนยืนยันว่าพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการเลิกใช้ถุงพลาสติกอย่างเต็มที่ขณะเดียวกันก็อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ไม่ได้เตรียมถุงผ้ามาใช้ในหลายรูปแบบ เช่น การแจกฟรี การลดราคาสินค้าให้บางรายการ หรือการเพิ่มแต้มสะสมให้กับสมาชิกของห้างสรรพสินค้าหากไม่รับถุงผ้า รวมทั้งขายถุงผ้าให้ลูกค้าในราคาเท่าทุน เป็นต้น

 

157857195925

นายวิชัย กล่าวว่า หากทางห้างสรรพสินค้ารายใดต้องการบรรจุภัณฑ์ ถุง ภาชนะสำหรับใส่สินค้าหรืออาหารที่ทดแทนบรรจุภัณฑ์ ถุง ภาชนะที่ทำจากพลาสติกก็สามารถติดต่อผ่านกรมได้เพราะกรมมีข้อมูลผู้ประกอบการที่เป็นผู้ผลิตสินค้าเหล่านี้จากวัสดุธรรมชาติ เช่น กรวยใส่น้ำจากกระบอกไม้ไผ่ ผู้ผลิตถุงจากผ้าฝ้าย ถุงหิ้ว/กล่องใส่อาหารผลิตจากมันสำปะหลัง ถาดใส่อาหารผลิตจากใบไม้ เป็นต้น  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี)  ซึ่งนโยบายเลิกใช้ถุงพลาสติกนั้นก็ถือว่าช่วยให้ผู้ประกอบการเหล่านี้มีคำสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้นเป็นการช่วยเศรษฐกิจฐานราก

         157857199265

ด้านตัวแทนผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าต่างระบุว่า พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐ ในการเลิกใช้ถุงพลาสติกและไม่อยากให้มองว่าห้างสรรพสินค้าเอาเปรียบหรือไม่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าที่ไม่ได้นำถุงผ้ามาใส่ของ เพราะที่ผ่านมา 9 วัน ทางผู้ประกอบการก็พยายามอำนวยความสะดวกในหลายรูปแบบ ซึ่งก็เป็นต้นทุนที่สูงขึ้นเช่นกันแม้ว่าจะไม่ได้มีต้นทุนจากการซื้อถุงพลาสติกแต่ก็มีต้นทุนจากหลายส่วนเพิ่มขึ้น  เช่น การประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงการเลิกใช้ถุงพลาสติก การผลิตถุงผ้า ถุงกระดาษมาใช้ทดแทน เป็นต้น ซึ่งต้นทุนการผลิตถุงกระดาษแพงกว่าถุงพลาสติกเฉลี่ย 5-6 เท่า ขณะเดียวกัน ทางห้างสรรพสินค้าก็นำเงินที่ได้จากการเลิกใช้ถุงพลาสติกไปทำการกุศล ดังนั้นทางห้างสรรพสินค้าจึงไม่ได้กำไรหรือรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายดังกล่าว แต่เป็นการร่วมมือกับกับทุกฝ่ายในการรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมและภาวะโลกร้อน