เกาะติด '4 ปัจจัยร้อน' ฉุด 'ฟันด์โฟลว์' หุ้นไทยหดหาย

เกาะติด '4 ปัจจัยร้อน' ฉุด 'ฟันด์โฟลว์' หุ้นไทยหดหาย

นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน ( 8 ม.ค.) พบว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัว หรือเคลื่อนไหว "ผันผวนรุนแรง"  ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุนของหลายคนๆให้ใจเต้นตุ้นๆต่อมๆต่อเนื่อง

 ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนประเมินว่า แม้ปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยถือว่าค่อนข้างยากแล้ว แต่เชื่อว่าปี2563นี้ จะยังเป็นอีกปีที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะ "เล่นได้ยากมากขึ้นไปอีก"  เพราะปีนี้มีปัจจัยเข้ามากดดันในหลายๆเรื่อง รวมถึงทิศทาง “กระแสเงินทุนต่างชาติ” หรือ  "ฟันด์โฟลว์"  ที่ไหลออกไปในปี2562 ยังไม่มีทีท่าว่าจะไหลกลับเข้ามา

ด้าน “เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส ประเมินมุมมองหุ้นไทยปี 2563 โดยคาดว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยปีนี้ยังต้องเจอกับแรงกดดันในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะปัจจัยที่กดดันให้ฟันด์โฟลว์ชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ซึ่งเบื้องต้นคาดว่า นวโน้มฟันด์โฟลว์ปีนี้ มีโอกาสสูงที่จะไหลออกจากตลาดหุ้นไทยเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน หลังจากปีที่ผ่านมาที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาราว 4.5 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ คาดว่าปัจจัยเสี่ยงที่จะกดดันให้ฟันด์โฟลว์ชะลอการไหลเข้าตลาดหุ้นไทยปีนี้ มี 4 ปัจจัยด้วยกัน ประกอบด้วย   1.ความไม่สงบในตะวันออกกลาง ซึ่งทำให้เงินทุนไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงไปยังสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง "ทองคำ"และ "พันธบัตรรัฐบาล" 

2.แนวโน้มอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวต่ำ โดยปกติแล้วเศรษฐกิจไทยจะเติบโตดีกว่าเศรษฐกิจโลก แต่ปี2563นี้ นักวิเคราะห์คาดการร์ว่าตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)ไทยจะเติบโตได้เพียง 2.8% ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ( IMF)  ที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตระดับ 3.4% ซึ่งทำให้ความน่าสนใจของการลงทุนในไทยถูกจำกัดลง

3.การเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นจีน (A Shares) ในดัชนี MSCI และ FTSE ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำหนักหุ้นไทยที่อยู่ในตระกร้าดังกล่าว "ถูกลดน้ำหนักลง" และ4.สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่มีแนวโน้มร้อนแรงมากยิ่งขึ้น  เพราะจะมีทั้งการพิจารณางบประมาณปี 2563 วาระที่2-3, การจัดกิจกรรมวิ่งไล่ลุง,การนัดฟังคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ และการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งจะยิ่งเพิ่มดีกรีความร้องแรงของการเมืองให้สูงขึ้นเรื่อยๆ

 รวมถึงยังมีปัจจัยด้านอัตราแลกเปลี่ยน จากค่าเงินบาทที่มีสัญญาณ "พลิกกลับมาอ่อนค่า" จากปีก่อนที่เงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งกดดันให้นักลงทุนต่างชาติยังไม่กล้าขนเงินเข้ามาลงทุนในช่วงนี้

ส่วนในช่วงที่ผ่านมา นับตั้งแต่เดือน ม.ค.2557 จนถึงปัจจุบัน พบว่านักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยสะสมไปแล้วราว 6 ปี ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 6 แสนล้านบาท แต่ดัชนีหุ้นไทยกลับไม่ปรับตัวลดลงรุนแรงมากนัก เพราะมีแรงซื้อจากนักลงทุนกลุ่มสถาบันในประเทศเข้ามาช่วยพยุงไว้ราว 5 แสนล้านบาท และเป็นผู้ช่วยผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปรับตัวขึ้นเกือบ 300 จุดหรือ 22% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเม็ดเงินจากกองทุนรวมและกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ แอลทีเอฟ (LTF) ทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศ มีบทบาทต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้หลายปีที่ผ่านมากลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ จะมีบทบาทต่อตลาดหุ้นไทยมากขึ้น แต่ปีนี้จะถือเป็น "ปีแรก"ที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันจะไม่มีเม็ดเงินจากกองทุน LTF เข้ามาช่วยแล้ว เพราะมาตรการด้านภาษีได้หมดลง 

ส่วนกองทุนรูปแบบใหม่ คือ กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund :SSF) ที่จะมาแทน LTF   ก็คาดว่าจะดึงดูดให้เม็ดเงินเข้ามาซื้อกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีได้น้อยลงและทำให้เม็ดเงินจากสถาบันในประเทศหายไปราว 50% รวมถึงจะส่งผลให้แรงหนุนจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันหายไปเกือบครึ่งหนึ่ง 

ขณะที่ข้อมูล ณ เดือน ส.ค.2562 พบว่า มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน LTF มีจำนวนรวม 3.92 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 51% ของมูลค่ากองทุนรวมหุ้นไทยทั้งหมด ซึ่งในจำนวนนี้มีความเสี่ยงที่เม็ดเงินจากการซื้อกองทุน LTF ที่ครบกำหนดไถ่ถอนพร้อมขายออกมาได้กว่า 1.8 แสนล้านบาท

“ทิศทางฟันด์โฟลว์ปีนี้คิดว่าคงจะแห้ง และมีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะขายหุ้นออกมาเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันมีสูง โดยปัจจุบันสัดส่วนถือครองหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งปีที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับไม่ถึง 22% ต่ำกว่าระดับปกติที่ไม่เคยต่ำกว่าระดับ 25% ซึ่งสะท้อนว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มขายหุ้นในส่วนที่เข้ามาลงทุนจริงบ้างแล้ว” 

นอกจากนี้ ยังประเมินเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2563 แบบอนุรักษนิยม ณ สิ้นปีจะอยู่ที่ 1,675 จุด และจุดต่ำสุดที่ 1,530 จุด ขณะที่ค่า P/E Ratio ที่ 16.5-17.5 เท่า ซึ่งแนะนำให้นักลงทุนต้องติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวในปัจจุบันยังคาดเดาข้อสรุปได้ค่อนข้างยาก  

อย่างไรก็ตาม "เทิดศักดิ์" กล่าวทิ้งท้ายว่า สรุปแล้วภาวะการลงทุนปีนี้ คาดว่าจะยากขึ้นไปอีกทั้งความผันผวนที่มากขึ้น และอัพไซด์ตลาดที่ค่อนข้างจำกัด พร้อมแนะนำว่า หากนักลงทุนท่านใดอยากชนะตลาดปีนี้ก็ต้องแม่นยำในการเลือกหุ้น โดยเฉพาะต้องโฟกัสหุ้นที่พื้นฐานที่แน่นและชัดเจนพอสมควร