'ประภัตร' จี้กรมการข้าว ปรับกลยุทธ์รับมือแล้ง-ตลาดเปลี่ยน

'ประภัตร' จี้กรมการข้าว ปรับกลยุทธ์รับมือแล้ง-ตลาดเปลี่ยน

รมช.เกษตรฯระดมสมองศูนย์ข้าว วางแผนยุทธศาสตร์โครงการนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชน ปรับกลยุทธ รับมือแล้ง สถานการณ์ตลาดข้าวเปลี่ยน

นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีว่าช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการวางแผนยุทธศาสตร์โครงการนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชน ว่า จากภัยแล้งที่คาดว่าจะรุนแรงและยาวนานกว่าทุกปี และในอีก 6 เดือนปริมาณฝนจะมีค่าต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ ทำให้มีน้ำไม่เพียงพอ ขาดน้ำอุปโภค-บริโภค ส่งผลกระทบต่อผู้ทำนากว่า 2 ล้านไร่ได้รับความเดือดร้อน

นอกจากนี้สถานการณ์ข้าวในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป ทั้งต้นทุน และราคาในตลาด ตลอดจนประเทศเพื่อนบ้านมีการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น และจากกรณีไทยเสียแชมป์ข้าวหอมมะลิให้กับประเทศเวียดนาม ในการประกวดข้าวโลกปี 2019 ยอมรับว่าปัจจุบันข้าวหอมมะลิราคาลดลง

ดังนั้นกรมการข้าวจึงต้องปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อพัฒนาผลิตเมล็ดพันธุ์ให้มีคุณภาพ โดดเด่น มีคุณสมบัติพร้อม เช่น ทนต่อแมลง ใช้น้ำน้อย ปลูกระยะสั้น และลดต้นทุน อีกทั้งต้องเน้นในเรื่องของตลาด ศูนย์วิจัยและผลิตเมล็ดพันธุ์จะต้องระดมความคิดร่วมกันเพื่อช่วยกันผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ดีให้กับเกษตรกร

นอกจากนี้กรมการข้าวได้ขับเคลื่อน โครงการนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชน ซึ่งตอบสนองต่อยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน แผนแม่บทด้านการพัฒนาการเกษตร ปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจโดยการมุ้งเน้นให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันทำการผลิตรวมถึงมีการจำหน่าย มีตลาดรองรับ เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตต่อหน่วยเพิ่มขึ้น และสามารถลดต้นทุนการผลิตได้อย่างเป็นรูปธรรม

โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 มีแปลงใหญ่ที่กรมการข้าวต้องเข้าไปดำเนินการจำนวนทั้งสิ้น 1,914 แปลง เป็นแปลงต่อเนื่องปี 2561 จำนวน 729 แปลง แปลงต่อเนื่องปี 2562 จำนวน 830 แปลง และแปลงใหญ่ปี 2563 จำนวน 355 แปลง นอกจากนี้ยังมีโครงการสำคัญอีกจำนวน 22 โครงการที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการดำเนินงานโครงการนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชน

ดังนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนงานโครงการนาแปลงใหญ่และศูนย์ข้าวชุมชน และโครงการสำคัญของกรมการข้าวอีก 22 โครงการ นำไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ สร้างความร่วมมือ ร่วมใจให้แก่บุคลากร ก่อให้เกิดการบูรณาการความคิดร่วมกัน เพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ และเป็นแนวทางให้บุคลากรสามารถดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน ส่งผลให้ภารกิจที่ได้รับมอบหมายบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์และสามารถแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรได้อย่างเป็นรูปธรรม