ลดใช้พลาสติก เอกชน-รัฐบาลต้องลงทุน

ลดใช้พลาสติก เอกชน-รัฐบาลต้องลงทุน

ณ วันนี้ "ไทย" ไม่น้อยหน้าใครในการลดภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะภาคเอกชนที่ลงทุนให้บริการถุงผ้า เพื่อทดแทนถุงพลาสติก โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ขณะที่ประชาชนต่างตอบรับกระแสอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับภาครัฐที่ควรลงทุนเพื่อตอบรับวาระแห่งชาตินี้ด้วย

นานมาแล้วที่มนุษยชาติเริ่มตระหนักปัญหาโลกร้อน กระทั่งปัจจุบันหลายประเทศหันมาใส่ใจโดยเน้นไปที่การลดพลาสติก โดยเฉพาะถุงพลาสติก เพราะยิ่งมีการใช้ถุงพลาสติกมากเท่าไหร่ ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศโลกจากการเผาไหม้ในกิจกรรมการผลิต และเผาทำลายถุงพลาสติกก็จะยิ่งสูง ทำให้เกิดมลภาวะทำให้โลกร้อน เพราะถุงพลาสติกต้องใช้เวลาย่อยสลายถึง 400-500 ปี ทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้คือการใช้ถุงผ้า

คงไม่มีใครปฏิเสธแล้วว่า ถุงผ้าเป็นทางเลือกช่วยลดภาวะโลกร้อนรวมทั้งประเทศไทย การใช้ถุงผ้าสามารถทดแทนถุงพลาสติก ผู้คนยังสามารถใช้ชีวิตประจำวัน จับจ่ายซื้อของได้ทุกเวลาเหมือนปกติ ต้องบอกว่าช่วงปีที่ผ่านมาคนไทยไม่น้อยหน้าใคร กระแสดังกล่าว ในเมื่อปัญหาโลกร้อนเกิดขึ้นมาจากน้ำมือมนุษย์ คนไทยก็เป็นมนุษย์ที่มีจิตสำนึกไม่น้อยหน้ากว่าชาติใดในโลก หลายประเทศออกมาตรการควบคุม บางประเทศออกกฎหมาย เช่น ออสเตรเลียห้ามใช้เด็ดขาด ไอร์แลนด์เก็บภาษีถุงพลาสติก ไต้หวันเรียกเก็บค่าธรรมเนียม หลายเมืองทั่วโลกประกาศตัวเป็นเมืองปลอดถุงพลาสติก บางประเทศมีการออกกฎหมายห้ามนำเข้าพลาสติกจากต่างประเทศ

สำหรับประเทศไทย โจทย์วันนี้ ไม่ได้อยู่ที่ลูกค้าผู้บริโภค ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และภาคีเครือข่ายสมาคมผู้ค้าปลีกไทย 75 ราย กว่า 24,500 ช่องทางจำหน่ายทั่วประเทศ จุดกระแสเป็นวาระแห่งชาติ ในการงดให้งดรับถุงพลาสติกหูหิ้วทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2563 เป็นการรณรงค์สนับสนุน พบว่ากระแสผู้บริโภคตื่นตัวรุนแรงในทางสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็นอนาคตของชาติ

เราเห็นว่าภาคเอกชนและภาครัฐอย่าปล่อยผ่านกระแสตื่นตัวในครั้งนี้ ต้องใช้โอกาสนี้ยกระดับประเทศไทยให้เป็นตัวอย่างที่ประเทศอื่นต้องศึกษาเป็นกรณีตัวอย่าง เราเห็นว่าปัญหาจะไม่อยู่ที่ลูกค้าซึ่งเป็นคนตัวเล็กที่มีความตั้งใจ เต็มใจที่จะรวมพลังสร้างความหวังให้สังคม ประเทศและโลกนี้ในการลดมลพิษที่เกิดจากพลาสติก ผู้ประกอบการและรัฐบาลต้องตระหนัก วันนี้ยังไม่ได้ลงทุนหรือใช้อำนาจที่มีอยู่เท่าที่ควร มีเพียงผู้ประกอบการบางรายเท่านั้นที่ลงทุนบริการถุงผ้าแจกฟรี เอกชนหลายรายยังโยนภาระให้ผู้บริโภค ส่วนภาครัฐที่มีอำนาจในการเก็บภาษีและออกกฎหมายสกัดการใช้หรือนำเข้าพลาสติก ยังทำได้แค่การประชาสัมพันธ์เชิญชวนประชาชนในตลาดสดและร้านขายของชํา ซึ่งยังไม่เพียงพอ

การลดขยะถุงพลาสติกไม่ควรเป็นเรื่องของความสมัครใจอีกต่อไป อย่างน้อยต้องออกกฎระเบียบบังคับ มีมาตรการทางด้านภาษีจูงใจและบังคับให้จ่าย นำไปสู่การแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกให้ได้ผล เราขอชื่นชมผู้ประกอบการที่อำนวยความสะดวก ให้บริการถุงผ้าลูกค้าโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในช่วงที่กระแสรักษ์โลกรักสิ่งแวดล้อมกำลังจุดติด เราเห็นความจำเป็นที่ผู้ประกอบการและภาครัฐต้องใช้ทุนและอำนาจที่มีอยู่ ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน ผลักดันให้กระแสลดใช้พลาสติก ยกระดับเป็นวาระแห่งชาติอย่างแท้จริง ต้องลงมือทำตั้งแต่วันนี้