ครม.อนุมัติ3.8แสนล้านอุ้มเอสเอ็มอี

ครม.อนุมัติ3.8แสนล้านอุ้มเอสเอ็มอี

รัฐบาลจัดให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติ อนุมัติมาตรการเสริมทุนเป็นเม็ดเงินกว่า 3.8 แสนล้านบาทในการช่วยเหลือผ่านการปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพิ่มวงเงินค้ำประกัน และ มาตรการทางภาษี

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติมาตรการต่อเติม เสริมทุน SMEs สร้างไทยตามที่กระทรวงการคลัง โดยมาตรการดังกล่าวจะแบ่งความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ต้องการสภาพคล่อง กลุ่มที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือทันที และ กลุ่มที่มีศักยภาพ ผ่านความช่วยเหลือ อาทิ การปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การเพิ่มวงเงินค้ำประกันที่สูงขึ้นจาก 30% เป็น 40% เป็นต้น เชื่อว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้มากขึ้น

ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การค้าโลกที่ชะลอตัวและความขัดแย้งทางการค้าระหว่างประเทศ ส่งผลกระทบทางลบเป็นวงกว้างต่อผู้ประกอบการและผู้ผลิตรายย่อยในประเทศซึ่งเป็นห่วงโซ่การผลิตที่สำคัญของภาคการส่งออกไทย นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังเป็นอุปสรรคต่อการส่งออก ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ดังนั้น เพื่อช่วยให้เอสเอ็มอีไทยสามารถแข่งขันและอยู่รอดได้ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความไม่แน่นอน รัฐบาลจึงยกระดับให้การส่งเสริมความสามารถของเอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติ

นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไปบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม(บสย.)กล่าวว่า การเพิ่มอัตราการค้ำประกันเป็น 40 % เท่ากับเป็นการเพิ่มความหนาของเสื้อเกราะของธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอี เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์สามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น ทั้งนี้ การเพิ่มอัตราการค้ำประกันเป็น 40 % หมายความว่า กรณีที่ธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการ ปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอีแล้วสินเชื่อนั้นกลายเป็นหนี้เสียในพอร์ต ของธนาคารไม่เกิน 40 %  บสย.จะจ่ายเคลมให้100 %

นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทยกล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลมองเรื่องการช่วยเหลือเอสเอ็มอีเป็นวาระแห่งชาติ เพราะปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีจำนวนมากกว่า 3 ล้านรายในประเทศ มียอดขายสินค้าที่คิดเป็นมูลค่าราว 40% ของจีดีพี มีการจ้างงานถึง 14 ล้านคน คิดเป็น 80-85% ของการจ้างงานในประเทศทั้งหมด

เขากล่าวด้วยว่า เรื่องการขยายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อจาก 30% เป็น 40% นั้น เรามองว่า เป็นนโยบายที่จะทำให้เม็ดเงินสินเชื่อไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยจะเป็นแรงจูงใจให้แบงก์ร่วมปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ที่เคยตั้งวงเงินการค้ำประกันไว้ที่ 18% แต่แบงก์ไม่ยอมปล่อยสินเชื่อ แสดงให้เห็นว่า ความสำเร็จไม่เกิดขึ้น โดยแบงก์มองว่า ยังมีความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม กรณีที่เพิ่มวงเงินค้ำประกันเป็น 40% เราก็ยังไม่ได้เริ่ม และ ยังไม่รู้ว่า ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แต่ก็เป็นแนวทางที่น่าสนใจ

สำหรับมาตรการดังกล่าวจะมี

สำหรับมาตรการดังกล่าวจะมีวงเงินความช่วยเหลือรวมประมาณ 3.8 แสนล้านบาท รายละเอียดมาตรการประกอบด้วย 1.กลุ่มเอสเอ็มอีที่ต้องการสภาพคล่อง ประกอบด้วย 3 โครงการ ดังนี้ 1.1 โครงการบสย.เอสเอ็มอีสร้างไทย โดยบสย.ให้วงเงินค้ำประกัน 6 หมื่นล้านบาท จ่ายค่าชดเชยความเสียหายไม่เกิน 40%ของวงเงินค้ำประกัน โดยสามารถค้ำประกันให้กับลูกหนี้ที่มีศักยภาพแต่มีความสามารถในการชำระหนี้ลดลง รวมถึง ลูกหนี้ที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ลูกหนี้รีไฟแนนซ์ที่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และได้รับอนุมัติสินเชื่อเพิ่มเติมจากสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อสนับสนุนให้เอสเอ็มอีที่มีศักยภาพแต่ขาดสภาพคล่องให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

1.2 โครงการ Transformation Loan เสริมแกร่ง (Soft Loan เพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ 2) โดยธนาคารออมสิน วงเงินโครงการ 1.5 หมื่นล้านบาท ธนาคารออมสินคิดดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ 0.1% ต่อปี และสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการคิดดอกเบี้ยกับเอสเอ็มอี 4% ต่อปีระยะเวลากู้สูงสุด 7 ปี โดยเพิ่มเติมคุณสมบัติผู้ขอสินเชื่อให้รวมถึงธุรกิจที่เป็น Supply Chain และธุรกิจอื่นที่นอกเหนือจากกลุ่มธุรกิจ 10 S-Curve และสามารถให้สินเชื่อกับลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสีย แต่มีการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว รวมถึงเพิ่มเติมวัตถุประสงค์การกู้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนอย่างเดียวได้ 

1.3 โครงการ GSB SMEs Extra Liquidity โดยธนาคารออมสิน มีวัตถุประสงค์เพื่อผ่อนปรนภาระการจ่ายเงินต้นและเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจวงเงินโครงการ 5 หมื่นล้านบาท วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 50 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าชั้นดีลบ1% ระยะเวลากู้สูงสุด 6 ปี ปลอดชำระเงินต้น 1 ปี

2.กลุ่มเอสเอ็มอีที่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือทันที โดยโครงการ PGS 5 ถึง PGS 7 จะขยายระยะเวลาการค้ำประกันในโครงการ PGS 5 ถึง PGS 7 ออกไปอีก 5 ปี รวมถึงยกเลิกเงื่อนไขที่กำหนดให้ บสย. จ่ายค่าประกันชดเชยเมื่อสถาบันการเงินดำเนินคดีกับเอสเอ็มอี โดยให้สถาบันการเงินสามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่เอสเอ็มอี เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

3.กลุ่มเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพ ปัจจุบันมีมาตรการด้านการเงินเพื่อสนับสนุนทั้งโครงการสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนและโครงการค้ำประกันสินเชื่อ ดังนี้ 3.1 โครงการสนับสนุนเอสเอ็มอีรายย่อย ผ่านกองทุน สสว. โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) เป็นผู้พิจารณาสินเชื่อวงเงินคงเหลือ 5 พันล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 7 ปี ปลอดชำระเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี โดยให้ สสว. ให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพแต่ขาดสภาพคล่อง ซึ่งรวมถึงกลุ่มที่เป็นหนี้เสียแต่มีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วด้วย 

3.2 โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชนของ ธพว.วงเงินคงเหลือ 2 หมื่นล้านบาท โดยปรับปรุงกลุ่มเป้าหมายให้ลูกหนี้เอสเอ็มอีที่เป็นหนี้เสียและมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วสามารถเข้าโครงการได้

3.3 โครงการสินเชื่อเอสเอ็มอีประชารัฐสร้างไทยของธนาคารออมสิน โดย ณ วันที่ 16 ธ.ค. 2562 มีวงเงินคงเหลือ 4.5 หมื่นล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 4% ต่อปี ใน 2 ปีแรก โดยกำหนดการจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทนเอสเอ็มอีเป็นระยะเวลา 4 ปี

3.4 โครงการสินเชื่อ กรุงไทยเอสเอ็มอี ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดยเพิ่มวงเงินสินเชื่ออีก 1 หมื่นล้านบาท เป็น 6 หมื่นล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4% ต่อปี โดยกำหนดการจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทนเอสเอ็มอีเป็นระยะเวลา 4 ปี

3.5 โครงการ PGS 8 ของ บสย. สำหรับวงเงินค้ำประกันโครงการที่เหลือ บสย. จะจ่ายค่าประกันชดเชยให้กับสถาบันการเงินโดยสถาบันการเงินไม่ต้องดำเนินคดีกับเอสเอ็มอีก่อน เพื่อให้สถาบันการเงินช่วยลูกหนี้โดยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แทนการฟ้องดำเนินคดี รวมถึงขยายการค้ำประกันสินเชื่อให้ครอบคลุมถึงธุรกรรมการให้เช่าซื้อ ธุรกรรมการให้เช่าแบบลิสซิ่ง และธุรกรรมแฟ็กเตอริงได้อีกด้วย

3.6 โครงการ Direct Guarantee ของ บสย. วงเงินค้ำประกัน 5 พันล้านบาท วงเงินค้ำประกันต่อรายไม่เกิน 10 ล้านบาทรวมทุกสถาบันการเงิน โดย บสย. เป็นผู้กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามระดับความเสี่ยงของลูกค้า (Risk Based Pricing) ระยะเวลาค้ำประกันไม่เกิน 10 ปี 

4. มาตรการอื่นๆ 4.1 ธนาคารแห่งประเทศไทยจะพิจารณาแนวทางการกันสำรองที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในลักษณะเชิงป้องกันไม่ให้เป็นหนี้เสียและกรณีปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียและมีการอนุมัติสินเชื่อเพิ่มเติม ทั้งของสถาบันการเงินและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

4.2สมาคมธนาคารไทยโดยความร่วมมือของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งจะกำหนดเป้าหมายในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ รวมถึงพิจารณาขยายระยะเวลาการชำระหนี้และลดดอกเบี้ย เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้

4.3 มาตรการภาษีอากรและค่าธรรมเนียม ระหว่างวันที่ 1 ม.ค.2563 ถึง 31 ธ.ค.2564 โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 1.ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ลูกหนี้ สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากการปลดหนี้ของเจ้าหนี้ ได้แก่ ธุรกิจบัตรเครดิต ธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ และธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ

2.ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับการโอนหรือขายทรัพย์สิน การให้บริการ และการกระทำตราสาร เพื่อชำระหนี้ อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 3.ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์ที่จำนองเป็นประกันหนี้กับสถาบันการเงินให้แก่ผู้อื่น เพื่อนำเงินไปชำระหนี้แก่สถาบันการเงิน (เฉพาะส่วนที่ไม่เกินกว่าหนี้ที่ค้างชำระ)

4.ยกเว้นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ที่กรมสรรพากรกำหนด สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 5.ลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์และห้องชุดจาก 2% เหลือ 0.01% สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้