กรมชลประทาน ยันน้ำเพียงพอ 'อุปโภค-บริโภค' ยาวไปจนถึงสิ้นฤดูแล้ง
“กรมชลประทาน” ยืนยันมีปริมาณน้ำเพียงพอเพื่อการอุปโภค-บริโภค ยาวไปจนถึงสิ้นฤดูแล้ง เผื่อฝนทิ้งช่วงอีก 3 เดือนไปจนถึงก.ค. ขณะที่ "สทนช." เรียกประชุมหน่วยงานถกรับมือปัญหาน้ำเค็ม
เมื่อวันที่ 6 ม.ค.63 นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ฤดูแล้งปีนี้มีปริมาณน้ำต้นทุนอยู่ในเกณฑ์น้อย จึงต้องบริหารจัดการน้ำอย่างจำกัด และให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ซึ่งมีเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภครักษาระบบนิเวศสนับสนุนพืชที่ใช้น้ำน้อยหรือเกษตรต่อเนื่องบางพื้นที่เท่านั้น โดยยืนยันว่าน้ำปริมาณน้ำในเขื่อนหลัก 4 แห่ง เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่มีรวมกันอยู่ทั้งหมด 40% จะเพียงพอใช้ได้ไปจนถึงสิ้นฤดูแล้ง เดือนพฤษภาคมปี 2563 ทั้งยังเผื่อฝนทิ้งช่วงอีก 3 เดือน จนกระทั่งถึงเดือนกรกฎาคม 2563 ที่จะมีน้ำเพียงพอ
ทั้งนี้ จากน้ำจาก 4 เขื่อนหลัก ถูกระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาวันละ 18 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็นใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค 7 ล้านลบ.ม. รักษาระบบนิเวศและผลักดันน้ำเค็ม 8 ล้านลูกบาศก์เมตร และเพื่อการทำเกษตรต่อเนื่องเช่นสวนส้มโอและอื่นๆหรือพืชที่ใช้น้ำน้อยอีก 3 ล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งยังมีการผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองอีกวันละ 4-5 ล้านลูกบาศก์เมตรเพื่อผลักดันน้ำเค็ม ซึ่งน้ำลุ่มน้ำแม่กลองยังมีมากเพียงพอที่จะผันมาข่วยลุ่มเจ้าพระยา เนื่องจากอิทธิพลของพายุโพดุล
ขณะที่การตรวจวัดค่าความเค็มตอนนี้มีสถานีสูบน้ำดิบผลิตประปาสำแล จ.ปทุมธานี ยังคงมีความเค็มเกินค่ามาตรฐาน แต่จุดวัดความเค็มที่บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ยังปกติ สำหรับเกษตรกร ได้ขอความร่วมมืองดทำนาปรังและรอให้ฝนตกรอบใหม่จึงจะเริ่มหว่านกล้าทำนาได้ซึ่งถ้าหากตัดสินใจทำในช่วงเวลานี้ จะไม่มีน้ำเพียงพอที่จะสนับสนุนต้องปล่อยยืนต้นตาย เนื่องจากได้จัดลำดับความสำคัญเพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นอันดับแรก
ส่วนการเตรียมความพร้อมในเรื่องของเครื่องจักร และเครื่องมือเพื่อส่งไปประจำการที่ศูนย์ต่างๆทั่วประเทศ มีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดนนทบุรีและอีก 7 สาขาในทุกภูมิภาคได้แก่จ.เชียงใหม่ จ.พิษณุโลก จ.ขอนแก่น จ.นครราชสีมา จ.พระนครศรีอยุธยา จ.นนทบุรีและจ.สงขลา ซึ่งจะกระจายส่งเครื่องจักร เครื่องมือจำนวน 4316 ชิ้นแยกเป็นเครื่องสูบน้ำจำนวน 1935 เครื่องสูบน้ำจำนวน 258 คัน รถขุดจำนวน 499 คัน เรือขุดจำนวน 69 ลำ รถบรรทุกจำนวน 511 คัน รถบรรทุกน้ำจำนวน 106 คัน รถแทรกเตอร์จำนวน 565 คัน และเครื่องจักรสนับสนุนอื่นๆจำนวน 373 เครื่อง พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดในทุกพื้นที่