'ไพบูลย์' เผย กมธ.นัดถกรธน. 14 ม.ค. เตรียมเสนอค้าน ส.ส.ร.

'ไพบูลย์' เผย กมธ.นัดถกรธน. 14 ม.ค. เตรียมเสนอค้าน ส.ส.ร.

"ไพบูลย์" เผย กมธ.นัดถกรธน. 14 ม.ค. เตรียมเสนอค้าน ส.ส.ร. ชี้ ควรแก้เป็นรายมาตราเฉพาะที่เป็นปัญหาโดยแท้และสังคมยอมรับว่าควรจะต้องมีการแก้ไข ไม่รื้อทั้งฉบับ

เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 63 นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญฯจะมีอีกครั้งในวันที่ 14 ม.ค. และ 17 ม.ค. เนื่องจากจะต้องรอให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำงบประมาณ พ.ศ.2563 เสร็จสิ้นในชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรก่อน ซึ่งในช่วงเวลาของการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณนั้นทางสภาได้ขอความร่วมมือให้งดการประชุมคณะกรรมาธิการเป็นการชั่วคราว ทำให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จะกลับมาประชุมอีกครั้งในเวลาดังกล่าว

นายไพบูลย์ กล่าวว่า สำหรับการประชุมในวันที่ 14 ม.ค. และ17 ม.ค.นั้น จะยังไม่มีการพิจารณาเป็นรายมาตราว่าควรจะแก้ไขในมาตราใด เพราะจะเป็นขั้นตอนการเปิดให้กรรมาธิการวิสามัญฯ ได้อภิปรายแสดงความคิดเห็น เพื่อสรุปเป็นสาระสำคัญเท่านั้น ซึ่งส่วนตัวมีประเด็นที่จะเสนอต่อที่ประชุมในสองส่วนด้วยกัน 1.การเสนอให้สื่อมวลชนเข้ามารับฟังการประชุมของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เพื่อที่จะได้มีการนำเสนอและสะท้อนข้อมูลของคณะกรรมาธิการวิสามัญออกไปได้ทั้งสองด้าน เพื่อให้สังคมได้เห็นว่าใครเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยในประเด็นใดและอย่างไร ซึ่งจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการแสดงความคิดเห็นเพียงฝ่ายเดียว โดยส่วนตัวมองว่าเมื่อเวทีคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แล้วก็ควรแสดงความคิดเห็นกันอย่างมีเหตุผล ไม่ควรปลุกกระแสให้เกิดความขัดแย้ง แต่ควรนำเหตุผลและข้อมูลมาอภิปรายแลกเปลี่ยนกัน

2.เตรียมเสนอประเด็นและเหตุผลถึงการไม่เห็นด้วยกับการให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ โดยจะนำเสนอในภาพรวมว่าที่ไม่เห็นด้วยกับการตั้ง ส.ส.ร.เพราะขาดความเป็นไปได้ ขาดเหตุผล และขาดความจำเป็น และที่สำคัญจะเป็นการสร้างปัญหามากกว่าประโยชน์ที่สังคมจะได้รับจากการตั้ง ส.ส.ร. โดยความคิดเห็นส่วนตัวแล้ว หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรแก้ไขเป็นรายมาตรามากกว่า ซึ่งจะต้องมาจากความคิดเห็นที่ว่ามาตราดังกล่าวมีปัญหาโดยแท้และสังคมยอมรับว่าควรจะต้องมีการแก้ไข โดยเทียบเคียงกับการแก้ไขประมวลกฎหมาย เช่น ประมวลรัษฎากร หรือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น ซึ่งเมื่อเวลาหนึ่งที่ประมวลกฎหมายดังกล่าวมีปัญหา ฝ่ายบริหารจะเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติแก้ไขเป็นรายมาตรา ไม่ได้มีการยกร่างใหม่ทั้งฉบับแต่ประการใด


"การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากจะแก้ไขโดยอาศัยความเห็นฝ่ายเดียวย่อมจะนำมาซึ่งปัญหาได้ อีกทั้งที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ปราศจากความคิดเห็นร่วมกันจะเกิดขึ้นมาได้แม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะประสบความสำเร็จได้จะต้องมาจากความคิดเห็นร่วมกันของทุกฝ่ายที่จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและไม่สร้างความขัดแย้ง" นายไพบูลย์ กล่าว