‘สหรัฐ จีน ยุโรป’ ยึด ‘เอไอ’ สร้างฐานอำนาจทางธุรกิจ

‘สหรัฐ จีน ยุโรป’ ยึด ‘เอไอ’ สร้างฐานอำนาจทางธุรกิจ

การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งใหม่ภายใต้เทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) อินเทอร์เน็ต และบิ๊กดาต้า” ถูกนำมาพัฒนาเป็นเครื่องมือทรงอิทธิพลให้กับประเทศมหาอำนาจแสวงหาโอกาส เพื่อช่วงชิงสร้างความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ

สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ปัจจุบันผู้นำการพัฒนาเอไอเกิดมาจาก 3 ค่ายใหญ่ๆ ในโลก ได้แก่ “สหรัฐ จีน และยุโรป" ซึ่งต่างมีจุดแข็งเรื่องการใช้เทคโนโลยีในแบบตนเอง ดังจะเห็นว่ามีการนำเทคโนโลยีมาช่วยกำหนดเป็นนโยบาย และสร้างโมเดลธุรกิจภายในประเทศ เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ ตลอดจนสร้างระบบนิเวศน์ของอุตสาหกรรมต่างๆ ให้ขยายใหญ่ขึ้น

สมเกียรติ ชี้ว่า สหรัฐโดดเด่นเรื่องการประมวลผลจากการตั้งค่าอัลกอริทึม เช่น การพัฒนาชิพเอไอ และรถยนต์ไร้คนขับ เพราะสหรัฐให้ความสำคัญมากกับนโยบายวิจัยและพัฒนา แม้ที่ผ่านมาการคุ้มครองข้อมูลยังไม่เข้มแข็งก็ตาม

157793566327

ส่วนผู้นำเอไอในเอเชีย ย่อมหนีไม่พ้นจีน ดังจะเห็นว่าเอไอแอพพลิเคชั่นของจีนมีความทันสมัย อาทิ ระบบประมวลผลจดจำใบหน้า อีเพย์เมนท์ และโดรนต่างๆ โดยรัฐบาลจีนมีนโยบายเอไอที่ชัดเจน และถูกกำหนดในยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ขณะเดียวกัน จีนมีนโยบายการใช้ข้อมูลหรือบิ๊กดาต้าอย่างผ่อนปรน และมีการจัดการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อใช้ประโยชน์สูงสุด

ขณะที่ยุโรปมีจุดแข็งเรื่องการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้เอไอ ในฐานะที่ยุโรปเป็นตลาดใหญ่ อย่าง กฎหมายของสหภาพยุโรปว่าด้วยมาตรการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคล หรือจีดีพีอาร์ ที่บังคับใช้แล้วเมื่อกลางปี 2561 รวมไปถึงยุโรปยังเน้นการพัฒนาบุคลากรให้เป็นผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบการใช้เอไออีกทีหนึ่ง

เมื่อเปรียบเทียบการใช้เอไอ 4 ประเภทหลักๆ ระหว่างจีนกับสหรัฐ จะพบว่า 1.อินเทอร์เน็ต เอไอ ถูกนำมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างสูสีกัน โดยเฉพาะมีการเก็บบิ๊กดาต้าในระบบคลาวด์และดึงนำมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์อย่างหลากหลาย

2.บิสสิเนส เอไอ ถ้าวัดความสำเร็จกันแบบก้าวต่อก้าวในการใช้เทคโนโลยีในโลกแห่งอนาคต จะเห็นว่าจีนจะนำสหรัฐอยู่ระดับหนึ่ง อาจเพราะจีนนำข้อมูลทางกายภาพมาประกอบใช้กับการทำธุรกิจ ขณะที่เทคโนโลยีเอไอเพื่อการถ่ายโอนข้อมูลธุรกรรมทางการค้า จีนยังตามหลังสหรัฐพอสมควร แต่เชื่อว่าอีกไม่นานจีนจะตีตื้นขึ้นมาได้

3.เพอร์เซปชั่น เอไอ จะเห็นชัดในการใช้เซนเซอร์ยืนยันเอกลักษณ์ตัวบุคคล จีนนำหน้าสหรัฐ แล้วต่อไปจะทิ้งห่างขึ้นเรื่อยๆ และ

4.ออโตโนมัส เอไอ จีนยังตามหลังสหรัฐมากพอสมควร อย่างเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ แต่ก็ไม่ควรชะล่าใจ เพราะคาดว่าภายใน 5 ปีจีนจะพัฒนาขึ้นมาเทียบรุ่นสหรัฐจนได้ 

157793569438

ทั้งนี้ สมเกียรติได้ฉายภาพให้ถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทันสมัยของบริษัทใหญ่ๆ ทั่วโลก พบว่าในช่วง 10 ปีก่อน บริษัทที่สามารถทำกำไรได้ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจประเภททรัพยากรธรรมชาติ ปิโตรเลียม พลังงาน และกลุ่มธนาคาร ขณะที่ปัจจุบัน 7 ใน 10 บริษัทจะใช้แพลตฟอร์มทางธุรกิจ ทั้งแอ๊ปเปิ้ล กูเกิล ไมโครซอฟท์ อะเมซอน เฟซบุ๊ค และเทนเซนต์

“แม้แต่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทขนาดใหญ่ระดับยูนิคอร์นก็ต่างใช้แพลตฟอร์มทางธุรกิจทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแกร็บ ลาซาด้า โกเจ็ก โทโกพีเดีย หรือทราเวลโลก้า สิ่งที่เป็นห่วงคือขณะนี้ไทยยังไม่สามารถสร้างสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าทางธุรกิจมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ แล้วจะตามเมกะเทรนด์ธุรกิจนี้ได้ทันหรือไม่” ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าว

แนวโน้มการใช้เอไอกับภาคธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งในรายงานวิจัยของสตาติสตา ระบุว่า เอไอช่วยเสริมสร้างมูลค่าการค้าในภูมิภาคนี้สูงถึง 450 ล้านดอลลาร์ในปี 2561 ขณะที่บริษัทที่ปรึกษาไอดีซี มาร์เก็ต สเคป ได้สำรวจการใช้เอไอกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าปัจจุบันอินโดนีเซียใช้งานเอไอสูงที่สุด 24.6% รองลงมาเป็นไทย 17.1% สิงคโปร์ 9.9% และมาเลเซีย 8.1% 

ทั้งนี้ รายงานของ IDC Market Scape ชี้ว่า จำนวนการใช้เอไอที่สูงสะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ ระบบการเงิน และระบบบริการจากภาครัฐว่าทั่วถึงยิ่งขึ้น จึงคาดหวังว่าจะมีการลงทุนกับเอไอเพิ่มขึ้น เนื่องจากองค์กรต่างๆ เริ่มเข้าใจถึงประโยชน์การใช้เอไอกับธุรกิจของพวกเขา โดยเฉพาะการประมวลวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อให้ตรงตามความต้องการผู้บริโภคในอนาคต

157793575111

สมเกียรติ กล่าวด้วยว่า แพลตฟอร์มทางธุรกิจในปัจจุบันก็รุดหน้าไปไกลมากกว่าการใช้แอพพลิเคชั่นเดี่ยวๆ (Standalone app) หรือการนำหลายๆ แอพพลิเคชั่นมารวมกัน (App Suite) แต่เป็นไปในลักษณะซูเปอร์แอพพลิเคชั่น (Super app plus 3 party mini app) เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ทางเศรษฐกิจให้ขยายใหญ่ขึ้น

ยกตัวอย่างแอพพลิเคชั่นโกเจ็ก ภายในมีฟังก์ชันบริการ 19 แบบ ซึ่งตอบโจทย์ผู้ใช้งานจบในแอพพลิเคชั่นเดียว เช่น เรียกใช้บริการที่ 1 เรียกมอเตอร์ไซค์ไปรับ ต่อด้วยบริการที่ 2 รับหมอนวดมายังบ้าน ถัดไปบริการที่ 3 จ่ายค่าบริการนวดผ่านชำระเงินทางออนไลน์ และบริการที่ 4 เรียกมอเตอร์ไซค์มารับหมอนวดเพื่อส่งกลับไป 

“การรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลบิ๊กดาต้าเป็นเรื่องง่าย แต่การนำข้อมูลมาเพิ่มประสิทธิภาพความสามารถเชิงวิเคราะห์ เป็นลูกเล่นในเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจ ซึ่งแต่ละบริษัทมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น การเทรนข้อมูลให้ดีต้องทำอย่างต่ำๆ 1 ล้านข้อมูล เราจะเห็นว่าบริษัทเกี่ยวกับเอไอดาต้าต้องแข่งขันเทรนข้อมูลให้ได้ 10 ล้านข้อมูลขึ้นไป” ประธานทีดีอาร์ไอ ระบุ

สมเกียรติ มองว่าทุกการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจย่อมสร้างโอกาสและเกิดความเสี่ยง ถ้าธุรกิจใดไม่ปรับตัวก็ย่อมจะถูกดิสรัปชั่น ในเวลาเดียวกัน ธุรกิจประเภทไหนสามารถใช้ประโยชน์ได้จากเอไอ อินเทอร์เน็ต และบิ๊กดาต้า เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มให้รับกับความต้องการผู้ใช้มากที่สุด ย่อมได้เปรียบเชิงการแข่งขันทางธุรกิจ เช่นเดียวกับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพไทยต้องปรับตัวให้ทัน ก่อนที่จะเป็นผู้ถูกดิสรัปและหวังอย่างยิ่งว่า ภาครัฐจะเข้ามามีบทบาทในการบังคับใช้กฎหมาย คุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลให้เหมาะสมกับประเทศไทย