'ดุสิต-เซ็นทารา' รุกดีลร่วมทุนปี 62 บริหารเสี่ยงโรงแรมแข่งเดือด

'ดุสิต-เซ็นทารา' รุกดีลร่วมทุนปี 62 บริหารเสี่ยงโรงแรมแข่งเดือด

ความเคลื่อนไหวของดีลธุรกิจท่องเที่ยวไทยตลอดปี2562 ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการผนึกความร่วมมือเพื่อพัฒนาโรงแรมและโครงการมิกซ์ยูสทั้งในไทยและต่างประเทศ นำโดยสองเชนโรงแรม ใหญ่ ดุสิตธานี และเซ็นทารา

ไฮไลต์ในช่วงต้นปี คือการเปิดตัวบิ๊กดีลโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” (Dusit Central Park)อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่1เม.ย.2562ภายใต้ความร่วมมือระหว่างเครือโรงแรมใหญ่กับยักษ์ค้าปลีกในไทยกลุ่มบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น มูลค่ารวมกว่า 3.67 หมื่นล้านบาท บนโลเกชั่นหัวมุมถนนพระราม 4 ตัดกับถนนสีลม ที่ตั้งเดียวกับโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ หลังได้ประกาศความร่วมมือไปก่อนหน้านี้ เมื่อเดือน มี.ค. 2560

ชูแนวคิด “Here for Bangkok” สู่เป้าหมายการเป็นโครงการมาสเตอร์พีซระดับเวิลด์คลาสที่ยังคงความเป็นไทย เติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนในกรุงเทพฯอย่างครบวงจร ด้วยจุดเด่นหลายด้าน ทั้งการเชื่อมโยงการนำนวัตกรรมมาใช้ในโครงการผสานกับการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม เข้ากับรูปแบบการใช้ชีวิตทันสมัย เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ผ่านการเชื่อมต่อทุกย่านสำคัญและระบบคมนาคมทุกระนาบ บนทำเลที่ตั้งใกล้กับสวนลุมพินีซึ่งเป็นปอดของกรุงเทพฯ

โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ประกอบด้วยการพัฒนา4อาคาร ได้แก่ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ โฉมใหม่ กำหนดเปิดอย่างเป็นทางการคือวันที่27ก.พ.2566ตรงกับฤกษ์เปิดประตูต้อนรับลูกค้าวันแรกเมื่อปี2513หรือ50ปีก่อน แล้วเสร็จเป็นอาคารแรก ขณะที่เหลือจะทยอยก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี2567ทั้งอาคารสำนักงาน เซ็นทรัล พาร์ค ออฟฟิศเซส(Central Park Offices)จำนวน49ชั้น พื้นที่ 90,000 ตร.ม. คาดเปิดให้บริการภายในไตรมาส 3 ปี 2566 พร้อมกับศูนย์การค้า เซ็นทรัล พาร์ค (Central Park) ขนาด 80,000 ตร.ม.

นอกจากนี้ ยังมีอาคารที่พักอาศัย 2 แบรนด์ในอาคารเดียว คือดุสิต เรสซิเดนเซส (Dusit Residences)เป็นแบรนด์ระดับลักชัวรี จำนวน 159 ยูนิต และดุสิต พาร์คไซด์ (Dusit Parkside)เป็นแบรนด์แนวไลฟ์สไตล์ จำนวน 230 ยูนิต ทั้งสองแบรนด์จะเป็นที่พักอาศัยแบบเช่าสิทธิ์ระยะยาว (ลีสโฮลด์) 30 ปี และต่อสัญญาอีก 30 ปี หรือสูงสุด 60 ปี ความสูงอยู่ที่ 69 ชั้น จำนวนรวม 389 ยูนิต และที่จอดรถอีก 650 ยูนิต บนพื้นที่ 80,000 ตร.ม.คาดเปิดให้บริการในต้นปี2567

ทำให้โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เตรียมขึ้นแท่นเป็นเดอะ นิว จังก์ชั่น (The New Junction) เชื่อมย่านเก่าและย่านใหม่ 4 ย่านสำคัญจาก 4 ทิศของกรุงเทพฯ ได้แก่ ย่านราชประสงค์ (ทิศเหนือ) เจริญกรุง (ทิศใต้) สุขุมวิท (ทิศตะวันออก) และ เยาวราช (ทิศตะวันตก) ในฐานะซูเปอร์คอร์ซีบีดียกระดับสู่แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของโลก และสามารถสู้กับคู่แข่งมิกซ์ยูสในย่านพระราม4ได้

ฟากเครือโรงแรมใหญ่ในกลุ่มเซ็นทรัลเครือเซ็นทาราได้จัดตั้งบริษัทใหม่ในญี่ปุ่นชื่อเซ็นทารา เจแปน ประกาศดีลร่วมทุนกับพันธมิตรบริษัทก่อสร้างและอสังหาฯ2รายในแดนอาทิตย์อุทัย ภายใต้ชื่อ เซ็นทารา โอซาก้า สเปซิฟิค เพอร์เพอร์สเพื่อพัฒนาโรงแรม เซ็นทารา แกรนด์ โอซาก้า โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ขนาด 515 ห้องพัก ความสูง 34 ชั้น ภายใต้สัญญาเช่าที่ดินรวม 55 ปีใจกลางย่านนัมบะ

ทั้งนี้ วางมูลค่าลงทุนรวม1หมื่นล้านบาท โดยเซ็นทารา เจแปน ถือสัดส่วนใหญ่ที่51%ขณะที่อีก49%แบ่งเป็นของไทเซอิ คอร์ปอเรชั่น หนึ่งในบริษัทก่อสร้างที่เก่าแก่และมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น 25.5% และคันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือคันไซ อิเลกทริค เพาเวอร์ ถือสัดส่วนที่ 23.5%

นับเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญของเครือเซ็นทาราในการลงทุนและพัฒนาโรงแรมที่ญี่ปุ่น หลังจากก่อนหน้านี้ได้ศึกษาแผนการลงทุนโรงแรมในเมืองระดับ “เกตเวย์” สำคัญของโลก และโอซาก้าถือเป็นหนึ่งในนั้น คึกคักทั้งในมุมการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและท่องเที่ยว มีแหล่งท่องเที่ยวระดับแม่เหล็กมากมาย โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างโรงแรมฯได้ภายในไตรมาสที่1ปี2563เปิดให้บริการกลางปี 2566 ทันเวิลด์อีเวนต์ “เวิลด์ เอ็กซ์โป” ที่โอซาก้าเป็นเจ้าภาพจัดในปี 2568

นอกจากโอซาก้าแล้ว เซ็นทาราเจแปนยังสนใจพัฒนาโรงแรมในอีกหลายเมือง เช่น โตเกียว เกียวโต รวมถึงฮอกไกโดด้วย สอดรับกับแนวโน้มภาคท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่มีศักยภาพและเติบโตดีจนไม่อาจมองข้าม จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทะยานจาก 7 ล้านคนเมื่อปี 2552 เป็น 31 ล้านคนเมื่อปี 2561 โดยทางการญี่ปุ่นตั้งเป้าหมายไว้ชัดว่าในปี 2563 ซึ่งตรงกับการจัดโอลิมปิกไว้ที่ 40 ล้านคน และจะก้าวกระโดดเป็น 60 ล้านคนในปี 2573