เปิดเหตุผลที่คนวอลล์สตรีท รัก ‘ทรัมป์’ ยิ่งกว่าใคร

เปิดเหตุผลที่คนวอลล์สตรีท รัก ‘ทรัมป์’ ยิ่งกว่าใคร

"คุณคิดว่าเป็นเรื่องของโชคเหรอ ที่ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจของสหรัฐอยู่ในช่วงดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา บอกเลยว่าไม่ใช่!" วาทะที่อาจฟังดูขี้โม้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทวีตไว้เมื่อเดือน ก.ย. แต่ในที่สุดต้องยอมรับว่าสิ่งที่เขาพูด "เป็นความจริง"

เมื่อไม่นานนี้ ข้อมูลจากบริษัทบีสโปค อินเวสท์เมนท์ กรุ๊ป (Bespoke Investment Group) ระบุว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นในสมัยของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มากกว่าประธานาธิบดีส่วนใหญ่ของสหรัฐเสียอีก

ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ให้ผลตอบแทนมากกว่า 50% นับตั้งแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในเดือน พ.ย. 2559 โดยมากกว่าถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับผลตอบแทนของดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ทำไว้ที่ 23% สำหรับประธานาธิบดีสหรัฐคนอื่น ๆ ขณะดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 3 ปี

  • “ปีที่ 3 ปธน.” ปีทองวอลล์สตรีท

นอกจากนี้ ดัชนีเอสแอนด์พี 500 พุ่งขึ้นมากกว่า 28% ในปีนี้ สูงกว่าค่าเฉลี่ย 12.8% สำหรับประธานาธิบดีสหรัฐคนอื่น ๆ ขณะอยู่ในตำแหน่งในปีที่ 3

“ที่ผ่านมา ปีที่ 3 ของวาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 4 ปีเป็นปีที่ดีที่สุดสำหรับตลาดหุ้นมาตลอด โดยมีค่าเฉลี่ยผลตอบแทนอยู่ที่ 12.81% และสถิตินั้นก็ยังเกิดขึ้นในปีที่ 3 ของวาระดำรงตำแหน่งผู้นำคนปัจจุบัน” บริษัทบีสโปค ซึ่งเริ่มเก็บข้อมูลตลาดหุ้นสหรัฐตั้งแต่ปี 2471 ระบุ

157769836263

แม้วอลล์สตรีทต้องประสบกับความผันผวนจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนในปีนี้ แต่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ก็สามารถทะยานแตะเหนือระดับ 3,200 จุดได้เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน ถึงแม้การลงทุนในภาคธุรกิจจะลดลง เนื่องด้วยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับ 2 เศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่บรรดานักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ยังคงมีความเชื่อมั่นมากพอที่จะลงทุนในหุ้นต่อไป

  • “เฟด-ตลาดแรงงาน” หนุนหุ้นพุ่ง

ตลาดหุ้นในยุคของทรัมป์ได้รับปัจจัยกระตุ้นจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยไป 3 ครั้งในปี 2562 นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่สิ้นสุดวิกฤติการเงินโลก และอีกปัจจัยคือ “เจอโรม พาวเวล” ประธานเฟดนั่นเอง

การหั่นดอกเบี้ยของเฟด เป็นผลจากความวิตกว่าจะเกิดการเติบโตชะลอตัวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่ทรัมป์ก็ออกมาวิจารณ์พาวเวลอยู่บ่อยครั้งว่า “ควรลดดอกเบี้ยมากกว่านี้และเร็วกว่านี้!”

นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐยังได้แรงหนุนจากหนึ่งในตลาดแรงงานที่ตึงตัวที่สุด (หรือมีแรงงานในระบบมากที่สุด) ในประวัติศาสตร์ ปัจจุบัน อัตราคนว่างงานในสหรัฐอยู่ที่ 3.5% ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2512

และเนื่องจากคนอเมริกันมีงานทำ พวกเขาจึงมีเงินจับจ่ายใช้สอย ภาคผู้บริโภคที่แข็งแกร่งในสหรัฐยังช่วยประคับประคองเศรษฐกิจประเทศให้เดินหน้าต่อไป ในยามที่ภาคการผลิตบางส่วนเริ่มหดตัว

ปีที่ 3 ในยุคบริหารของทรัมป์ยังทำให้ตลาดหุ้นดีดตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ยังไม่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับประธานาธิบดีคนอื่น ๆ ในปี 2556 ยุคอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ตลาดหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนมากกว่า 32% ในขณะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (ระหว่างปี 2551-2555)

ปีแรกในยุคของทรัมป์ ตลาดหุ้นทะยานสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประธานาธิบดีคนก่อน ๆ ราว 3 เท่า โดยดัชนีเอสแอนด์พี 500 พุ่งถึง 19.4% เทียบกับค่าเฉลี่ยซึ่งอยู่ที่เพียง 5.7%

ภาคธุรกิจยังได้อานิสงส์จากการปฏิรูปภาษีของทรัมป์เมื่อปี 2560 โดยบริษัทที่ซื้อหุ้นคืนจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์จะได้รับเงินส่วนต่างเพิ่มด้วย

มีช่วงขาขึ้น ก็ต้องมีช่วงขาลงเช่นกัน โดยในปีที่ 2 ที่ทรัมป์บริหารประเทศ ตลาดวอลล์สตรีทเคลื่อนไหวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในปี 2561 และประสบกับเดือน ธ.ค. ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ท่ามกลางสงครามการค้าสหรัฐ-จีนที่ตึงเครียดขึ้น และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด

ในช่วงเวลานั้น ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงไป 6.2% เทียบกับค่าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 4.5%

  • ก้าวสู่ปีที่ 4 อย่างแข็งแกร่ง?

หากยังคงเป็นไปตามประวัติศาสตร์ ทรัมป์ก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาที่แข็งแกร่งอีกปีในปี 2563

ข้อมูลของบีสโปค เผยว่า ตลาดวอลล์สตรีทเข้าสู่ช่วงขาขึ้นในปีที่ 4 มากกว่า 66% ของช่วงเวลาทั้งปี และดัชนีเอสแอนด์พี 500 ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.7%

การทะยานของหุ้นส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับผลจากการเจรจาการค้ากับจีนด้วย โดยเมื่อต้นเดือน ธ.ค. สหรัฐและจีนประกาศบรรลุข้อตกลงการค้า “ระยะที่ 1” ซึ่งฝ่ายจีนตกลงที่จะซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ขณะที่สหรัฐตกลงที่จะยกเลิกการเก็บภาษีนำเข้าจากจีนรอบใหม่

ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ ตลาดวอลล์สตรีทมักไม่สนใจข้อตกลงการค้าระหว่าง 2 ประเทศ เนื่องจากขาดความชัดเจนและมีแนวทางที่ไม่แน่นอนกว่าจะถึงข้อตกลงการค้า “ระยะที่ 2”

ถึงแม้ทรัมป์มีความมั่นใจว่าตลาดหุ้นจะยังพุ่งแรงอีกครั้งในปีหน้า แต่วอลล์สตรีทคาดการณ์ว่าหุ้นอาจทะยานในระดับปานกลางเท่านั้น

นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทตั้งเป้าหมายเฉลี่ยสำหรับดัชนีเอสแอนด์พี 500 ในปี 2563 ไว้ที่ 3,330 จุด หรือสูงกว่าระดับที่ปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (27 ธ.ค.) ไม่ถึง 3% ขณะที่ทรัมป์ต้องการให้เอสแอนด์พี 500 ทะยาน 6% ในปีหน้าเพื่อเอาชนะค่าเฉลี่ยผลตอบแทนเอสแอนด์พี 500 ในปีที่ 4 ของประธานาธิบสหรัฐคนอื่น ๆ

ต้องติดตามดูว่า ทรัมป์จะพิชิตเป้าหมายนี้ได้หรือไม่ หากทำสำเร็จก็ย่อมส่งผลดีต่อคะแนนนิยมของเขาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยหน้าที่จะมีขึ้นช่วงปลายปี 2563!