'หุ้นพลังงาน' ดาวเด่น รับสงครามการค้าสงบศึก

'หุ้นพลังงาน' ดาวเด่น  รับสงครามการค้าสงบศึก

“สงครามการค้า” หรือ “Trade War” ถือเป็นปัจจัยหลักที่กดดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกตลอดปีที่ผ่านมา หลังสถานการณ์ยืดเยื้อมากว่า 1 ปี นับตั้งแต่สหรัฐประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนครั้งแรกเมื่อเดือน ก.ค. 2561 จนทำให้เกิดการตอบโต้ไปมาหลายครั้ง ระหว่าง 2 ประเ

    แม้สงครามครั้งนี้จะไม่ได้เข่นฆ่า ทำลายล้างกันเหมือนในอดีต แต่เป็นเสมือนสงครามเชิงสัญลักษณ์ เพื่อช่วงชิงอำนาจระหว่าง 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ โดยมีปัจจัยการเมืองอยู่เบื้องหลัง และมีเศรษฐกิจโลกเป็นเดิมพัน

    แน่นอนขึ้นชื่อว่า “สงคราม” ย่อมมีคนได้รับผลกระทบ ซึ่งครั้งนี้ก็คือ “เศรษฐกิจ” และไม่ใช่แค่เศรษฐกิจจีนกับสหรัฐเท่านั้น แต่กระทบไปทั้งโลก เพราะทุกวันนี้ภาคการค้าระหว่างประเทศเชื่อมโยงถึงกันหมด ซึ่งในฐานะที่ประเทศไทยอยู่ในห่วงโซ่การค้านี้ด้วย จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับบาดเจ็บจากสงครามครั้งนี้

    สะท้อนจาก “การส่งออก” ปีนี้ที่หดตัวหนัก ตัวเลขดำดิ่งติดลบตั้งแต่ต้นปี เท่านั้นไม่พอยังถูกซ้ำเติมจาก “ค่าเงินบาทแข็งค่า” ส่งผลให้สินค้าไทยแพงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทำให้ภาคการส่งออกที่อดีตเคยเป็นพระเอกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ปีนี้กลับตรงกันข้าม กลายเป็นตัวฉุดจีดีพีไทยให้เติบโตต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี หลังตัวเลข 11 เดือน ปี 2562 ติดลบไปแล้ว 2.77%

    อย่างไรก็ตาม เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น หลังต้นเดือน ธ.ค. 2562 สหรัฐกับจีนได้บรรลุข้อตกลงการค้าเฟส 1 โดยสหรัฐได้เลื่อนขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนรอบสุดท้าย 15% มูลค่ารวม 1.6 แสนล้านดอลลาร์ จากเดิมกำหนดไว้วันที่ 16 ธ.ค. 2562 ออกไปไม่มีกำหนด

    ขณะที่จีนจะกลับมานำเข้าสินค้าจากสหรัฐไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรมูลค่าราว 5 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยคาดว่าจะมีการลงนามสงบศึกอย่างเป็นทางการในเดือนนี้ และปูทางไปสู่การเจรจาเพื่อหาข้อตกลงเฟสที่ 2 ต่อไป

   ทำให้หลายฝ่ายมองไปในทิศทางเดียวกันว่า สถานการณ์การค้าโลกปีนี้น่าจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แม้มาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐจะยังไม่ยุติลงทั้งหมด แต่คงไม่รุนแรงเท่ากับช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก

    จากการพูดคุยกับนักวิเคราะห์หลายๆ สำนัก ทำให้เราเชื่อว่า หุ้นในกลุ่ม “Global Play” ที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว กลายเป็นอีกหนึ่งธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปีนี้ สำหรับกลุ่มแรกที่จะได้รับอานิสงส์จากสงครามการค้า มองไปที่กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ หุ้นพลังงาน น้ำมัน ปิโตรเคมี เพราะเมื่อเศรษฐกิจโลกเติบโตดีขึ้น จะส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ฟื้นตัว ขณะที่ดีมานด์ความต้องการใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน

 กลุ่มนี้หุ้นเด่น เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบ อุตสาหกรรมพลังงานขาลงไปพอสมควรแล้ว รวมทั้งการปรับพอร์ตของกองทุนต่างประเทศก่อนหน้านี้เพื่อเตรียมซื้อหุ้น “ซาอุดี อารามโก”

    บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP จากแนวโน้มราคาน้ำมันขาขึ้น หลังกลุ่มโอเปกประกาศเตรียมปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันเพิ่มอีก 5 แสนบาร์เรลต่อวัน ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 รวมทั้งการรับรู้ประโยชน์จากการซื้อกิจการ “Murphy” ในมาเลเซียเข้ามาเต็มปี

   ส่วนกลุ่มเกษตรได้รับอานิสงส์จากราคาสินค้าเกษตรแทบทุกชนิด ทั้งยางพารา ถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม ฯลฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO ได้รับประโยชน์จากการที่จีนจะกลับมานำเข้าถั่วเหลือจากสหรัฐมากขึ้น หลังบรรลุข้อตกลงการค้าเฟส 1 หนุนราคาถั่วเหลืองฟื้นตัว

    ขณะที่กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นเช่นกัน หลังตัวเลขยอดขายรถยนต์ในยุโรปช่วงเดือน ก.ย. และ ต.ค. กลับมาเติบโต 13.8% และ 8.6% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังหดตัวมาตลอด 11 เดือน ก่อนหน้านี้ ขณะที่ยอดขายรถยนต์ในจีนเริ่มติดลบลดลง แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการส่งออกยังมีความเสี่ยงจากผลกระทบของเงินบาทแข็งค่ากดดันอยู่

   ต้องบอกว่าทั้งหมดเป็นการวิเคราะห์ภายใต้การคาดการณ์ว่าสงครามการค้าจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น หวังได้เห็นการทำข้อตกลงเพิ่มเติมในปีนี้ แต่ก็ต้องยอมรับและเผื่อใจไว้ว่าอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะก่อนหน้านี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ท่ามกลางการชิงไหวชิงพริบของสหรัฐกับจีน ที่ผลัดกันรุก ผลักกันรับ มาโดยตลอด

157788131854