Energy Sector (25 ธ.ค.62)

Energy Sector (25 ธ.ค.62)

2563 เป็นปีของตลาดโรงกลั่น

Event

แนวโน้มธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมีปี 2563

Impact

คงให้นํ้าหนักหุ้นกลุ่มพลังงานที่ Neutral

เรายังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มพลังงานที่ Neutral โดยได้ปรับลดสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปี 2562/63 ลงเหลือ US$63/61/bbl จากเดิมที่ US$67/65/bbl และปรับลดราคาเฉลี่ยระยะยาวลงเหลือ US$60/bbl จากเดิมที่ US$65/bbl เพราะคาดว่าราคาจะถูกกดดันจากการที่สหรัฐผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะฟื้นตัวขึ้นเป็น US$65-70/bbl ใน 1Q63 หลังจากที่ OPEC+ ตกลงที่จะลดอุปทานลงอีก 500KBD ตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นไป ในขณะเดียวกันเราก็คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะลดลงใน
2H63 เนื่องจากอุปทานน้ำมันดิบสหรัฐจะเร่งตัวขึ้นหลังจากที่ท่อส่งน้ำมันใหม่ขนาดใหญ่สามเส้นของสหรัฐกำลังการผลิตรวม 2.5MBD เริ่มเปิดใช้งานเต็มรูปแบบตั้งแต่ 1H63 โดยท่อส่งน้ำมันสามเส้นดังกล่าวประกอบด้วย EPIC ขนาด 900KBD, Cactus II ขนาด 670KBD, และ Gray Oak ขนาด 900KBD

มองบวกกับแนวโน้ตลาดโรงกลั่นปี 2563

ในบรรดาหุ้นในกลุ่มพลังงาน เราชอบโรงกลั่นมากกว่าเพื่อนเนื่องจากนโยบายของ IMO ที่จำกัดเพดานส่วนผสมของกำมะถันในน้ำมันเตาที่ใช้ในธุรกิจเดินเรือไว้ที่ 0.5% ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันดีเซลในธุรกิจเดินเรือเพิ่มขึ้นเท่าตัว YoY ถึง 1.1MBD เป็น 2.1MBD ในปี 2563 จาก 1.0MBD ในปี 2562 ดังนั้นเราจึงคาดว่า spread ของน้ำมันดีเซลก็น่าจะเพิ่มขึ้น YoY จากประมาณ US$14/bbl ในปีนี้เป็น US$20/bbl ในปี 2563 ทั้งนี้โรงกลั่นในประเทศไทยถูกออกแบบมาให้มีสัดส่วนผลผลิตน้ำมันดีเซลสูงที่สุด ซึ่งหมายความว่า spread น้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ GRM ของโรงกลั่นไทยเพิ่มขึ้น แม้ว่า spread ของน้ำมันเตาจะร่วงแรงก็ตาม อย่างไรก็ตาม spread ของน้ำมันดีเซลในปัจจุบันอยู่ในระดับปกติที่ US$12-15/bbl โดยยังไม่ได้ขยับไปถึงสมมติฐานของเราที่ US$20/bbl เพราะนโยบายของ IMO ยังไม่เริ่มบังคับใช้จนกว่าจะถึงกำหนดวันที่ 1 มกราคม 2563 นอกจากนี้ การที่ spread ของน้ำมันดีเซลจะขยับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอาจจะล่าช้าไปประมาณหนึ่งเดือนจนถึงกลาง 1Q63 เนื่องจาก trader ตุนสต็อกน้ำมัน LSFO ไว้ในระดับสูงเพื่อเก็งกำไร

มองลบกับแนวโน้มตลาด Olefins, Aromatics, Polyester-chain และถ่านหินในปี 2563

เราคิดว่าตลาด Olesfins, Aromatics และ Polyester-chain จะถูกกดดันจากอุปทานใหม่จำนวนมากในปีหน้า ดังนั้น เราจึงคาดว่า spread ของ HDPE/LLDPE/LDPE ปี 2563 จะลดลง 5-15% YoY เหลือ US$400/400/475/ton และ spread ของ PP จะลดลง 14% YoY เหลือ US$500/ton ในขณะที่ spread ของ PX-over-condensate จะลดลง 26% YoY เหลือ US$266/ton นอกจากนี้ เรายังคาดว่า spread ของ PTA ในซีกโลกตะวันตกและตะวันออกจะลดลง US$20/ton เหลือ US$220/120/ton และ spread ของ PET ในซีกโลกตะวันตกลดลง US$15/ton เหลือ US$220/ton และซีกโลกตะวันออกจะลดลง US$10/ton เหลือ US$115/ton ในขณะเดียวกันเราก็มีความเป็นห่วงมากขึ้นกับการที่จีนคุมเข้มการนำเข้าถ่านหิน ซึ่งเราเชื่อว่าจะยิ่งเข้มขึ้นอีกในปี 2563 ดังนั้นเราจึงปรับลดสมมติฐานดัชนีราคาถ่านหินอ้างอิง NEX ปี 2562/63 ลงเหลือ US$77/72/ton จากเดิมที่ US$82/80/ton และปรับลดสมมติฐานราคาระยะยาวลงเหลือ US$75/ton จากเดิมที่ US$80/ton

Valuation and action

ESSO และ SPRC เป็นหุ้นเด่นตัวใหม่ในกลุ่มนี้ ในขณะที่ยังเก็บ TOP ไว้เป็ นหุ้นเด่นเหมือนเดิมจากที่เรามองบวกกับแนวโน้มตลาดโรงกลั่นในปี 2563 เพราะอานิสงส์จากนโยบายของ IMO เราจึงชอบหุ้นโรงกลั่นที่กำไรมากกว่า 50% ของ EBITDA รวมมาจากธุรกิจโรงกลั่น อย่างเช่น Thai Oil (TOP.BK/TOP TB)*, ESSO Thailand (ESSO.BK/ESSO TB)* และ Star Petroleum Refining(SPRC.BK/SPRC TB)* ซึ่งกำไรคิดเป็นสัดส่วนถึง 60%, 70% และ 100% ตามลำดับ ดังนั้นเราจึงเพิ่ม
ESSO และ SPRC เข้ามาในพอร์ตหุ้นเด่นพลังงานของเรา และยังเก็บ TOP ไว้ในรายการหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงานต่อไป ในขณะเดียวกัน Bangchak Corporation (BCP.BK/BCP TB)* และ IRPC (IRPC.BK/IRPC TB)* ก็น่าจะได้อานิสงส์จากนโยบายของ IMO ด้วยเพราะกำไรจากโรงกลั่นของทั้งสองบริษัทคิดเป็นประมาณ 40% ของ EBITDA รวม ดังนั้นเราจึงแนะนำหุ้นสองตัวนี้เป็นหุ้นแถวรองเพื่อเข้าลงทุนจากมุมมองบวกต่อตลาดโรงกลั่น

ปรับเพิ่มคำแนะนำ: ESSO, SPRC, BCP; ปรับลดคำแนะนำ: IRPC, PTTEP, BANPU

เราปรับเพิ่มคำแนะนำหุ้น ESSO, SPRC และ BCP จากถือเป็นซื้อ เนื่องจากเรามีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดโรงกลั่น อย่างไรก็ตาม เราปรับลดคำแนะนำหุ้น IRPC จากซื้อเป็นถือ เพื่อสะท้อนมุมมองเชิงลบต่อตลาด PP ปีหน้า นอกจากนี้ เรายังปรับลดคำแนะนำหุ้น PTT Exploration & Production(PTTEP.BK/PTTEP TB)* จากซื้อเป็นถือ เพื่อสะท้อนถึงการปรับลดประมาณการราคาน้ำมันดิบของเรา และแนวโน้มราคาขายก๊าซที่คาดว่าจะลดลงตั้งแต่ 2Q63 ในขณะที่ปรับลดคำแนะนำหุ้น Banpu (BANPU.BK/BANPU TB)* จากถือเป็นขาย เนื่องจากเราเป็นห่วงมากขึ้นกับประเด็นที่จีนคุมเข้มการนำเข้าถ่านหิน และการที่ราคาขายตามสัญญาระหว่าง Tohoku ของญี่ปุ่น และ Glencore ของออสเตรเลียลดลงอย่างมากเหลือแค่ US$72.75/ton สำหรับงวดเดือนตุลาคม 2562 - กันยายน 2563 ในขณะเดียวกันเราก็คงคำแนะนำถือ PTT (PTT.BK/PTT TB)* ซึ่งเราพร้อมที่จะปรับมุมมองมาเป็นบวกกับ PTT เมื่อบริษัทสามารถยื่นไฟลิ่งเพื่อนำ PTT Oil and Retail Business (PTTOR) เข้าจดทะเบียนใน SET ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นราคาหุ้น PTT นอกจากนี้ เราก็ยังคงคำแนะนำ ถือ Indorama Ventures (IVL.BK/IVL TB)* และ PTT Global Chemical (PTTGC.BK/PTTGC)* จากแนวโน้มการเติบโตในปี 2563 แต่อย่างไรก็ตาม เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้น IVL และ PTTGC ไปก่อนจนถึงสิ้นปี 2563 เนื่องจากเรามองลบกับแนวโน้มของตลาด Olefins และ Polyester-chain