'พีทีจี' พร้อมชนรายใหญ่ปั๊มน้ำมัน เจาะพื้นที่หลักดันทุกธุรกิจโต

'พีทีจี' พร้อมชนรายใหญ่ปั๊มน้ำมัน เจาะพื้นที่หลักดันทุกธุรกิจโต

ปี 2563 ยังท้าทายธุรกิจจะฝ่ามรสุมปัจจัยเสี่ยงที่ผันผวนไปได้อย่างไร ที่สำคัญผู้บริหารแต่ละองค์กรจะต้องเลือกว่าจะปรับตัวเพื่อเตรียมตั้งหรือจะกลายเป็นผู้ชิงจังหวะในช่วงที่คู่แข่งเผชิญปัจจัยลบให้ธุรกิจสามารถเดินหน้าได้ก่อน

 "พิทักษ์ รัชกิจประการ " ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ดำเนินธุรกิจค้าและสถานีบริการน้ำมัน กำลังจะพาธุรกิจและแบนด์ขึ้นมาชิงโอกาสจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ด้วยการตั้งเป้าหมายปี 2563 ไว้สูงในทุกด้านขยายสาขาปั๊มน้ำมัน และ ปั๊ม LPG ไม่น้อย250-300 สาขา ทั้งสาขาที่บริหารเองและเป็นเฟรนไซต์ ดันตัวเลขยอดขายน้ำมันเติบโตถึง 20 % สร้างรายได้จากทั้งธุรกิจน้ำมันและไม่ใช่น้ำมัน 910 ล้านบาท เพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นไม่น้อยกว่า 38 %

รวมไปถึงการขึ้นมาเป็น 1 ใน 3 ท็อปแบนด์ในใจลูกค้า รองจากรายใหญ่ในตลาดอย่าง ปตท. และบางจาก ซึ่งนั้นหมายความว่า พีทีจี ยังครงตำแหน่งนี้ไว้และหาโอกาสแซงหน้าคู่แข่งไปด้วย

จากปี 2561 พีทีจีเผชิญผลกระทบจากค่าการตลาดที่ต่ำกว่าระดับปกติ ที่ 1.70-1.80 บาทต่อลิตร หลังราคาน้ำมันโลกปรับตัวขึ้นต่อเนื่องดันราคาน้ำมันในไทยแตะ 30 บาทต่อลิตร จนรัฐต้องเข้ามาตรึงราคาน้ำมัน ทำให้มีผลต่อกำไรโดยตรง จนทำให้เป็นปีที่กำไรหดตัวมาอยู่ที่ 624 ล้านบาท บริษัทต้องปรับตัวทั้งองค์กรปี 2562 ด้วยการลดต้นทุนควบคุมค่าใช้จ่ายในทุกส่วนเพื่อทำตัวให้เบาที่สุด

จากผลดังกล่าวทำให้เมื่อยอดขายโต ต้นทุนลดลง กำไรต่อลิตรจะเพิ่มขึ้นไปโดยปริยาย ซึ่งบริษัทปรับตัวเองมาตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2561 ที่กำไรไม่ถึง 2 ล้านบาท ด้วยการรัดเข็มตัวตัวเอง จนปี 2562 กำไรฟื้นตัวอย่างชัดเจนรอบ 9 เดือนอยู่ที่ 1,204 ล้านบาท มาจากอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 38 % ยอดขายต่อสาขาดีขึ้น มีการขยายปั๊มน้ำมันต่อเนื่อง และยังดันยอดขายปีนี้เติบโตกว่าที่คาดไว้อยู่ที่ 20-21 %

ขณะที่ในปี 2563 พีทีจี เชื่อมั่นว่า การบริหารต้นทุนที่ทำได้ดีต่อเนื่อง ทั้งการบริหารปริมาณน้ำมันซื้อภายในประเทศจากโรงกลั่นจำนวน 4,700 ล้านลิตรต่อปี เป็นการซื้อภายในประเทศ ทำให้ไม่กระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า

การมีคลังน้ำมันที่กระจาย 10 จุดภายในรัศมี 200 กิโลเมตร ทำให้สำรองน้ำมันในปั๊มเพียง 3 วัน จึงไม่จำเป็นต้องสำรองปริมาณน้ำมันจำนวนมากไว้ที่คลังมันจึงทำให้บริษัทไม่มีความเสี่ยงขาดทุนหรือกำไรจากสต็อกน้ำมันเหมือนธุรกิจโรงกลั่น

ด้านการขนส่งระหว่างปั๊ม พีทีจีมีกองบรรทุกน้ำมันของบริษัทที่สามารถวิ่งส่งน้ำมันตามสาขาได้ทั่วประเทศ มีอัตราการขนส่งน้ำมันไปไกลสุดไม่เกิน 1 วัน เมื่อเปรียบเทียบกับรายอื่นที่เป็นการจ้างรายอื่นขนส่งแม้จะไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงแต่บริหารต้นทุนทำได้น้อยกว่าบริษัท

ขณะที่แนวโน้มค่าการตลาดปีหน้าเชื่อว่าจะทรงตัวในระดับปกติ คือไม่ต่ำกว่า 1.70-1.80 บาทต่อลิตร ตามทิศทางราคาน้ำมันที่มีปัจจัยเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ราคาน้ำมันโลกมีโอกาสแตะ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้ยาก ส่วนในประเทศหากบาทยังแข็งค่าโอกาสน้อยที่ราคาน้ำมันแตะ 30 บาทต่อลิตร เป็นข่าวบวกเตรียมลดต้นทุนไปก่อนหน้าแล้ว ทำให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นที่ 38 % มีโอกาสเพิ่มขึ้นปี 2563

‘หลังจากจัดการรีดไขมันส่วนเกิน ให้องค์กรตัวเบาขึ้นปีหน้ากลยุทธ์แข่งขันจะเปลี่ยนจากการเป็นสิงห์ภูธเจาะตลาดรอบนอก ในถนนสายรอง แต่รอบนี้จะเข้ามาในสนามที่ใหญ่ขึ้น อย่างกรุงเทพฯ ปริมณฑล และถนนสายหลัก เจาะไข่แดงชนกับรายใหญ่ เน้น กรุงเทพฯ นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการซึ่งเป็นจังหวัดบริโภคน้ำมัน 30 % ของทั้งประเทศ ‘

รูปแบบขยายสาขาเป็นการซื้อปั๊มเดิมและเปลี่ยนเป็นแบนด์ พีทีจี แบ่งเป็นสาขาที่บริหารเอง 200 สาขาจากปัจจุบัน 555 สาขา และรูปแบบสาขาเฟรนไซต์ 50-60 สาขา ปัจจุบันอยู่ที่ 261 สาขา และปี 2563 มีไม่น้อยกว่า 200 สาขาจะเพิ่มขึ้นมา ซึ่งเชื่อว่าด้วยกลยุทธ์ที่บริหารต้นทุนด้วยตัวเองทำให้คู่ค้าและพันธมิตร ของพีทีจี ทำให้สามารถเสนอค่าการตลาดให้คู่ค้าดีกว่ารายอื่น

นอกจากธุรกิจน้ำมันแล้วปี 2563 ต้องจับตาธุรกิจค้าแก๊ส LPG ทั้งภาคขนส่งและภาคครัวเรือนของบริษัท ภายใต้บริษัทย่อย บริษัท โอลิมปัส จำกัด มีการใช้กลยุทธ์ขยายคู่ขนานพร้อมกับปั๊มน้ำมัน มีกองรถบรรทุกในการขนส่ง ทำให้บริหารต้นทุนได้ดี

 บวกกับบริษัทมีฐานสมาชิกจากบัตร MAXCARD 12.5 ล้ายราย และน่าจะเพิ่มเป็น 15 ล้านรายปีหน้า เป็นแรงส่งสำคัญด้านดาต้าให้ธุรกิจน้ำมัน แก๊ซ เติบโต และนำไปขยายในธุรกิจอื่นได้อีกด้วย

โดยเฉพาะธุรกิจไม่ใช่น้ำมัน เป็นอีกขาหนึ่งที่สร้างกำไรขั้นต้นให้บริษัทได้มาก เมื่อปรียบเทียบธุรกิจน้ำมันอยู่ที่ 8 % ธุรกิจแก๊ซ 20 % แต่ธุรกิจร้านกาแฟอยู่ที่ 60 % พีทีจีมีทั้ง Coffee World และ กาแฟพันธุ์ไทย ซึ่งได้เตรียมงบลุยเต็มทีปีละ 500 ล้านบาท เพื่อขยายสาขา และปรับรูปโฉมครั้งใหญ่ไว้แล้ว

 "ปี 2563 เป็นปีที่เพิ่มหมดยอดขาย สาขา กำลังการผลิต ยกเว้นค่าการตลาดผิดปกติจะทำให้เป้าหมายไม่เป็นไปตามคาด หากแต่อีกด้านบริษัทพยายามไปธุรกิจ Non Oil มากขึ้น เพราะการแซงแทรกตลาดไม่มี"