“ศุภาลัย” แบกสต็อกหมื่นล้าน ปรับแผนโฟกัสแนวราบ

“ศุภาลัย” แบกสต็อกหมื่นล้าน ปรับแผนโฟกัสแนวราบ

ศุภาลัย รับสภาพตลาดชะลอตัว ฉุดยอดขายพลาดเป้า เลื่อนเปิดตัวโครงการใหม่ เผยกลยุทธ์ปีหน้า เดินแผนระมัดระวัง เพิ่มแนวราบ ทำราคาจับต้องได้ หลังแบกสต็อกหมื่นล้านสูงเป็นประวัติการณ์  

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปีนี้ว่า สภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง จึงต้องปรับแผนเลื่อนการเปิดตัว 5 โครงการออกไป เหลือการเปิดตัวรวมทั้งปี 30โครงการ จากเดิมที่มีแผนเปิดตัว 35โครงการ มูลค่า 40,000 ล้านบาท เหลือ 35,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดขาย(pre-sale)พลาดเป้าหมายตั้งไว้ 35,000 ล้านบาท เหลือ 33,000ล้านบาท

โดยปัจจุบันบริษัทยังมีสินค้าเหลือขายที่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ (Inventory) มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท หรือกว่า 3,000 ยูนิต ซึ่งเป็นยอดสต็อกที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์แต่ยังควบคุมได้

“เศรษฐกิจชะลอตัว สภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวยต่อการเปิดตัวโครงการใหม่ ดีมานด์ไม่ได้สูงตามที่คาดจึงต้องเลื่อนเปิดตัวโครงการใหม่ ส่วนสต็อก1หมื่นล้านบาทไม่กังวล เนื่องจากยังอยู่ในระดับที่สมดุลกับความต้องการ และยังสามารถควบคุมได้ โดยประเมินว่าจะทยอยลดลงในปีหน้า”

นายไตรเตชะ คาดการณ์ถึงสถานการณ์ตลาดอสังหาฯในปีหน้าว่า จะยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยง ตลาดยังคงชะลอตัว แม้จะมีมาตรการจากภาครัฐมากระตุ้นกำลังซื้อแต่ส่งผลในเชิงบวกเพียงไตรมาสแรกเท่านั้น ส่วนไตรมาส 2 อาจจะกลับไปสู่ภาวะเดิม และคอยติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจจะฟื้นตัวหรือไม่ในไตรมาส3และ4 จึงต้องเดินกลยุทธ์ธุรกิจด้วยความระมัดระวัง โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 30 โครงการ เน้นเปิดตัวโครงการแนวราบเป็นหลัก เพราะเป็นตลาดผู้อยู่อาศัยจริง ( Real demand) ส่วนการเปิดตัวโครงการแนวสูง หรือ คอนโดมิเนียม ต้องเลือกพัฒนาโครงการในทำเลและพื้นที่มีความต้องการเป็นหลัก ทำราคาที่คนเข้าถึงได้

ล่าสุดบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวมประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2563 ประมาณ 10,000 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้ในปีถัดไป

นอกจากนี้ยังชะลอการซื้อที่ดิน เพื่อรอดูสถานการณ์ตลาดที่ดิน หลังพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง บังคับใช้ในปีหน้า โดยตั้งงบซื้อที่ดินปีนี้ มูลค่า 8,000ล้านบาท ใช้ไปเพียง 6,000ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่า พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯไม่ส่งผลกระทบกับแผนการนำที่ดินมาพัฒนาโครงการมีมูลค่ารวม 1 แสนล้านบาท ภายใน3ปี เนื่องอัตราการจัดเก็บภาษียังเติบโตต่ำหากเทียบกับอัตราการเติบโตของราคาที่ดินต่อปี