'กอบศักดิ์' ยันการเมือง ฉุดหุ้นไทย 'ช่วงสั้น'

'กอบศักดิ์' ยันการเมือง ฉุดหุ้นไทย 'ช่วงสั้น'

“กอบศักดิ์” ยันปัญหาการเมืองกดดันหุ้นไทยแค่ช่วงสั้น แนะผู้ลงทุนอย่าตื่นตระหนก เหตุพื้นฐาน บจ. ไม่เปลี่ยน มั่นใจงบปี 63 ผ่านภายในเดือนก.พ.ปีหน้า พร้อมมอบนโยบายก.ล.ต. 4 ด้าน เน้นผลักดันตลาดทุนให้ยั่งยืน ลดมุมมืดการลงทุน

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ตลาดทุนไทยจะรับมืออย่างไร ในวันที่โลกเปลี่ยนไป” ภายในงาน SEC Capital Market Symposium 2019 ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า สถานการณ์ทางการเมืองมีกระทบต่อตลาดหุ้นไทยแค่ระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ โดยสิ่งที่ตลาดชอบคือการเมืองที่นิ่ง จึงเชื่อว่าถ้าตลาดเห็นว่าการเมืองนิ่งตลาดก็พร้อมจะปรับขึ้น แต่หากการเมืองเริ่มเกิดปัญหาก็อาจเห็นตลาดเริ่มปรับตัวลดลงได้

“เมื่อวานหุ้นตก 20 กว่าจุด เป็นสิ่งที่คนเข้าตลาดต้องยอมรับสิ่งนี้ เพราะเราไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ดูได้จากตลาดหุ้นโลกที่เราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะวันดีคืนดีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ทวิตอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งหุ้นขึ้นอยู่ดีๆก็ตกลง 700 กว่าจุด ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องธรรมดา”

ทั้งนี้มองว่านักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนก เพราะพื้นฐานบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ยังมีศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตในระยะยาว ขณะที่เรื่องการเมืองก็ต้องให้การเมืองแก้ไขคลี่คลาย ซึ่งอย่างน้อยภาพปีหน้าก็น่าจะคลี่คลายมากขึ้น โดยต้องช่วยกันนำพาประเทศไปให้ได้และไม่สูญเสียโอกาสครั้งสำคัญ ส่วนการชุมนุมที่เกิดขึ้น เชื่อว่าจะไม่ลุกลามบานปลาย เพราะมีกลไกทางกฎหมายดูแลอยู่แล้ว ซึ่งรัฐบาลจะพยายามประคับประคองให้ผ่านไปได้ 

อย่างไรก็ดีในส่วนมาตรการควบคุมการชุมนุมทางการเมืองรัฐบาลจะมีอะไรออกมาเพิ่มเติมหรือไม่นั้น ต้องให้ฝ่ายที่มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวข้องเป็นคนตอบเอง

ส่วนการพิจารณาและลงคะแนนเสียงผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณปี 2563 ตนเองไม่รู้สึกกังวลและเชื่อว่าจะผ่านร่างได้เรียบร้อย เพราะมั่นใจว่าปัจจุบันรัฐบาลมีเสียงเพียงพอและคาดว่าพรรคอื่นที่อยู่ในรัฐสภาก็จะสนับสนุน เพราะงบประมาณปี 2563 มีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศ โดยคาดว่าจะประกาศใช้ได้ตามกรอบในช่วงปลายเดือนม.ค.หรือต้นเดือนก.พ.2563

“ตอนนี้รัฐบาลยังรอดูและติดตามใกล้ชิด แต่อย่าลืมว่าปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นไทยไม่ได้เปลี่ยน ยังมีศักยภาพมีโอกาสเติบโตได้ในระยะยาวเมื่อเทียบกับภูมิภาค ประกอบกับฟันด์โฟลว์ก็ชะลอการไหลออกแล้ว ส่วนเงินบาทก็มีแนวโน้มดีขึ้น เพราะมีเงินที่นักลงทุนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งทำให้เงินบาทที่แข็งค่ามากก่อนหน้านี้น่าจะดีขึ้น”

นายกอบศักดิ์ กล่าวด้วยว่า เป้าหมายการพัฒนาตลาดทุนไทยให้ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำได้ และการเพิ่มนักลงทุนหน้าใหม่ เชื่อว่ามีความท้าทาย โดยมี 4 เรื่องที่ได้มอบให้กับก.ล.ต.ดำเนินการ คือ 1.การแก้โจทย์เรื่องดิสรัปชั่นในการหาหุ้นใหม่ๆ,2.การผงาดขึ้นมาเป็นพระเอกของตลาดหุ้นในเอเชีย ซึ่งเป็นโอกาสในภาวะที่เศรษฐกิจเอเชียมีแนวโน้มเติบโตในระดับที่ดีแข็งแรงขึ้น,3. การเปลี่ยนตลาดที่ไม่ยั่งยืนให้ยั่งยืน โดยไม่กระทบสิ่งแวดล้อมและไม่เกิดความเหลื่อมล้ำ รวมถึงปรับให้ยั่งยืนและเป็น Green Ocean

4. ขจัดความมุมมืดในระบบตลาดหุ้นไทยให้ลดน้อยลงเพื่อปกป้องนักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นไทยได้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่ปัจจุบันที่มีเพียง 7 ล้านบัญชี แต่มีบุคคลที่เทรดจริงๆ (แอ็คทีฟ) เพียงแค่ 3 แสนบัญชี หรือคิดเป็นเพียง 0.5% ของประชากรไทย 

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า การเพิ่มนักลงทุนหน้าใหม่ ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่สามารถพัฒนาบจ.ที่มีอยู่กว่า 700 แห่งให้มีศักยภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งทำได้เพียงปีละ 10 แห่งให้ขยายตัวเหมือน บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) หรือบมจ.ปตท.(PTT) ก็พอแล้ว จะช่วยให้นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นจะช่วยให้นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนต่างประเทศกล้าเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น

157659849159