กูรูมั่นใจ 'ส่งออก-ลงทุน' ฟื้น ห่วงถกค้าโลก 'เฟส 2' ลากยาว

กูรูมั่นใจ 'ส่งออก-ลงทุน' ฟื้น ห่วงถกค้าโลก 'เฟส 2' ลากยาว

นักวิเคราะห์ประเมิน ผลเจรจาการค้า "สหรัฐ-จีน" บรรลุข้อตกลง "เฟสแรก" หนุนบรรยกาศการค้า การลงทุนดีขึ้น แต่ยังต้องจับตาเฟสสอง เชื่อเจรจากันอีกยาว พร้อมฟันธงความรุนแรงของสงครามการค้าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

การเจรจาการค้าระหว่าง "สหรัฐ" และ "จีน" ในเฟสแรกผ่านไปได้ด้วยดี โดย จีน ตกลงที่จะนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐ มูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ในขณะที่สหรัฐยกเลิกการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่เดิมมีผลบังคับวันที่ 15 ม.ค.นี้ และลดภาษีนำเข้าสินค้าในหมวดเครื่องนุ่งห่มและเครื่องใช้ไฟฟ้าเหลือ 7.5% จากเดิมเรียกเก็บอยู่ 15% แต่ยังคงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในหมวดอื่นๆ ที่ 25%

นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี กล่าวว่า การบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนในเฟสแรก ถือเป็นข่าวดีของเศรษฐกิจโลก เพราะน่าจะทำให้บรรยากาศการค้าโดยรวมดีขึ้น แต่ยังคงต้องจับตาดูการเจรจาในเฟสสองต่อไป ซึ่งเชื่อว่าคงไม่จบเร็วนัก

"คิดว่าดีลคงไม่จบลงง่ายๆ อาจจะยืดเยื้อจนถึงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปีหน้า โดยเฟสแรกที่จบไปเป็นเพียงการไม่ขึ้นภาษีวงเงิน 3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเดิมมีกำหนดเรียกเก็บเพิ่ม 15% ในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ ส่วนเฟสสองที่เตรียมเจรจากันต่อ เป็นการพิจารณาปรับลดภาษีส่วนที่เรียกเก็บไปแล้วก่อนหน้านี้วงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเรียกเก็บอยู่ราว 15-30% จึงยังต้องติดตามการเจรจาต่อไป"

157640809236

  • บรรยากาศการค้าโลกดีขึ้นหนุนส่งออกไทย

สำหรับผลกระทบต่อการส่งออกไทยนั้น หากบรรยกาศการค้าโลกดีขึ้นและทำให้เศรษฐกิจโลกโดยรวมดีขึ้น ก็น่าจะส่งผลบวกต่อการส่งออกของไทยบ้าง โดยปีหน้าศูนย์วิเคราะห์ทีเอ็มบีประเมินว่า การส่งออกไทยน่าจะขยายตัวได้ราว 1.2% จากปีนี้ที่คาดว่าจะหดตัวราว 2.5%

"ต้องบอกว่าบรรยากาศโดยรวมดีขึ้นบ้างแต่คงไม่มากนัก ยังต้องรอดูเฟสสองต่อไป แต่ถ้าย้อนดูการส่งออกของไทยช่วงที่ผ่านมาจะเห็นว่า ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันการส่งออกโดยรวมๆ หดตัว โดยเฉพาะการส่งออกไปจีนหดตัวถึง 6% ส่งออกไปยุโรปหดตัว 6% ส่งไปอาเซียนหดตัว 10% และส่งไปญี่ปุ่นหดตัวราว 1% แต่การส่งออกไปยังสหรัฐเติบโตถึง 14% สะท้อนว่าสหรัฐมีการนำเข้าสินค้าจากเราเพิ่ม หลังจากนี้คงต้องดูว่าบรรยากาศการส่งออกจะเป็นอย่างไรต่อไป"

  • กระตุ้นตลาดหุ้นไทยคึกคัก

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า การเจรจาการค้าสหรัฐกับจีนที่บรรลุข้อตกลงเฟสแรกได้นั้น เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นต่างประเทศและตลาดหุ้นไทย ซึ่งที่ผ่านมาตลาดหุ้นต่างประเทศสะท้อนข่าวบวกดังกล่าว โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเป็นเดือนแล้ว เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าสหรัฐกับจีนจะสามารถเจรจาตกลงกันได้ เพราะแบ่งการเจราจาการค้าออกเป็นเฟสๆ โดยเฟสแรกๆ จะเป็นเรื่องที่สามารถเจรจาตกลงกันได้ไม่ยาก

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยตอบรับข่าวดีดังกล่าวน้อย เพราะมีการเมืองในประเทศกดดัน ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังไม่มีความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุน เพราะกำไรบริษัทจดทะเบียนไม่ค่อยดี เศรษฐกิจโตชะลอ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมานั้นยังไม่ได้ส่งผลชัดเจน ขณะที่งบประมาณภ่ครัฐปี 2563 ยังไม่ได้ผ่านสภาออกมา

"จากที่จีนกับสหรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงเจรจาการค้าเฟสแรกนั้น เป็นปัจจัยบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ยังต้องติดตามต่อไป เพราะยังไม่มีการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ โดยคาดว่าจะเซ็นสัญญาในเดือน ม.ค.2563"

  • แนะกลยุทธ์การลงทุนหุ้น 3 กลุ่ม

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า กรณีสหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรก โดยเบื้องต้นสหรัฐตกลงยกเลิกการขึ้นภาษี 1.6 แสนล้านดอลลาร์ และปรับลดภาษีวงเงิน 1.1 แสนล้านดอลลาร์ ลงเหลือ 7.5% (จากเดิม 15%) ส่วนที่เหลือคงไว้เหมือนเดิม ขณะที่ฝั่งจีนจะสั่งซื้อสินค้าเกษตรมากขึ้น พร้อมเปิดทางเจรจา เฟส 2 ต่อนั้น มองว่ากรณีดังกล่าวถือเป็นข่าวดีระดับหนึ่ง เพราะล่าสุดมีออกประกาศรายละเอียดการทำข้อตกลงในแต่ละข้อที่จะแบ่งออกเป็นเฟสๆ และคาดว่าสหรัฐฯและจีนน่าจะการเจรจาการค้ากันต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดของสงครามการค้ามาแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายยังไม่เคยมีการทำข้อตกลงใดๆ ร่วมกัน โดยคาดว่าทั้งสองฝ่ายจะลงนามร่วมกันได้ภายใน 1-2 อาทิตย์ข้างหน้า

นายมงคล กล่าวว่า ปัจจัยดังกล่าวน่าจะส่งผลให้ทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกค่อยๆ ทยอยฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่คาดว่ามีโอกาสขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,600 จุดได้อีกครั้ง และมีแนวต้านที่ระดับ 1,620 จุด โดยมองว่าการปรับขึ้นของดัชนีรอบนี้เป็นเพียงระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังไม่หมด ขณะที่ตลาดหุ้นไทยก็ยังมีปัจจัยถ่วงที่ทำให้ดัชนีไม่สามารถขึ้นไปถึงระดับ 1,650 จุดได้

ส่วนด้านกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.หุ้นที่มักปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาด หรือหุ้น 10 อันดับแรกในดัชนี SET50-SET100, 2.หุ้นที่เคยได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าในช่วงที่ผ่านมา อาทิ กลุ่มน้ำมัน, ปิโตรเคมี และกลุ่มส่งออก และสุดท้าย 3.หุ้นปรับตัวลงมาแรงในช่วงก่อนหน้านี้และมีโอกาสดีดกลับ เช่น กลุ่มธนาคารและกลุ่มที่อยู่อาศัย

  • โกลด์แมนแซคส์ผิดหวัง

โกลด์แมน แซคส์ ผิดหวังสหรัฐ-จีนบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรก ระบุยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงร่วมกันครั้งนี้และยังมีปัญหาทางเทคนิค ตลอดจนรายละเอียดเรื่องข้อกฏหมายระหว่างกันอีกมากที่ทั้งสหรัฐและจีนต้องขจัดให้หมดไป

แจน แฮทซิอุส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของโกลด์แมน แซคส์ ให้ความเห็นว่า ภายใต้การบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกที่ตลาดหุ้นและตลาดทุนขานรับเพราะมองว่าเป็นข่าวดี และสหรัฐจะลดการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 120,000 ล้านดอลลาร์ เหลือจัดเก็บในอัตรา 7.5% ถือว่าน้อยและเป็นแค่ครึ่งเดียวของตัวเลขที่โกลด์แมน แซคส์ ประมาณการ

นายโรเบิร์ต ไลท์ไธเซอร์ ผู้แทนการค้าของสหรัฐ กล่าวว่า ทั้ง 2 ฝ่ายจะลงนามข้อตกลงการค้าเฟสแรกในสัปดาห์แรกของเดือน ม.ค.ที่วอชิงตัน พร้อมทั้งกล่าวด้วยท่าทีระมัดระวังว่า รัฐบาลบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ให้สัญญาเกี่ยวกับการยกเลิกจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในอนาคต ต้องรอดูท่าทีของรัฐบาลจีนก่อนว่าจะดำเนินการตามข้อตกลงที่ได้หารือร่วมกันไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม แม้การบรรลุข้อตกลงการค้าเฟสแรกระหว่างสหรัฐและจีนจะไม่มีรายละเอียดมากพอที่จะทำให้นักลงทุนมั่นใจ แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า ความคืบหน้าในเรื่องนี้ส่งผลดีต่อราคาหุ้นในตลาด กระตุ้นให้เกิดความเชื่อมั่นทางธุรกิจมากขึ้น อีกทั้งน่าจะช่วยให้เกิดการใช้จ่ายด้านการลงทุน และสนับสนุนผลกำไรของบริษัทต่างๆ เพิ่มขึ้นด้วย

  • นักวิเคราะห์ชี้ยังมีความไม่แน่นอน

บทวิเคราะห์ในซีเอ็นบีซีมองว่า การบรรลุข้อตกลงเฟสแรกของสหรัฐ-จีน เป็นข่าวดีแก่ตลาดหุ้น ตลาดทุนจริง แต่ด้วยความที่การบรรลุข้อตกลงนี้ขาดรายละเอียด ทำให้ตัวข้อตกลงยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะยังมีประเด็นที่ทั้งสหรัฐและจีนยังมีความแตกต่างกันอยู่ ทั้งในประเด็นความมั่นคงแห่งชาติ ประเด็นสิทธิมนุษยชนทั้งกรณีสถานการณ์ในฮ่องกงและในมณฑลซินเจียง ความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีของสหรัฐและจีน ที่เปิดช่องให้ทั้งสหรัฐและจีน นำมาเป็นต้นเหตุที่จะตอบโต้กันทางการค้าได้อีกในวันข้างหน้า