ซูเปอร์ไอพีโอ'ซาอุดีอารามโก' สะเทือนหุ้นน้ำมันไทย-กองทุนแห่เทขาย

ซูเปอร์ไอพีโอ'ซาอุดีอารามโก'  สะเทือนหุ้นน้ำมันไทย-กองทุนแห่เทขาย

สร้างกระแส “ทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์” กันไปทั้งโลกกับการเปิดเสนอขายหุ้นไอพีโอของ “ซาอุดี อารามโก” บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย เพราะถือเป็นการทำไอพีโอที่มีมูลค่าระดมทุนสูงที่สุดในโลกถึง 2.56 หมื่นล้านดอลลาร์ แซงหน้าแชมป์เก่าอย่าง “อาลีบาบา

         “ซาอุดี อารามโก” ถือเป็นบริษัทพลังงานที่มีกำไรและกำลังการผลิตน้ำมันดิบมากที่สุดในโลก ซึ่งการนำหุ้นออกมาเสนอขายครั้งนี้ เกิดจากแนวคิดของมกุฏราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ที่ต้องการฟื้นฟูเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบีย โดยได้นำหุ้นออกมาเสนอขายทั้งหมด 3 พันล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 32 ริยาล หรือ ประมาณ 8.53 ดอลลาร์ เมื่อช่วงต้นเดือนธ.ค. ที่ผ่านมา

          แม้จำนวนหุ้นที่แบ่งออกมาจะคิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 1.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด แต่เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ “ซาอุดี อารามโก” กลายเป็น “ซูปเปอร์ไอพีโอ” ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก และแน่นอนว่าเมื่อเข้าซื้อขายวันแรก (11 ธ.ค.) ในตลาดหุ้นซาอุดีอาระเบียก็ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง เพราะราคาหุ้นพุ่งชนเพดานที่ระดับ 10% ทันที่ตั้งแต่วินาทีแรก โดยราคาทะยานขึ้นไปที่ 35.2 ริยาล หรือ ประมาณ 9.40 ดอลลาร์ ส่งผลให้มาร์เก็ตแคปพุ่งถึง 1.88 ล้านล้านดอลลาร์

          เท่านั้นยังไม่พอในวันต่อมา (12 ธ.ค.) ราคาหุ้นชนซิลลิ่งต่อเป็นวันที่ 2 แตะระดับ 38.7 ริยาล หรือ ประมาณ 10.32 ดอลลาร์ หนุนให้มาร์เก็ตแคปเพิ่มเป็น 2 ล้านล้านดอลลาร์ ทิ้งห่าง “ไมโครซอฟท์” ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปรองลงมาเกือบเท่าตัว

          ด้วยไซส์ที่ใหญ่ขนาดนี้ทำให้ “ซาอุดี อารามโก” จะได้รับ “ฟาสต์แทร็ก” เข้าไปคำนวณในดัชนี MSCI เป็นกรณีพิเศษทันที โดยจะใช้ราคาปิด ณ วันที่ 17 ธ.ค. นี้ แน่นอนว่าเมื่อมีหุ้นเข้ามาใหม่ ย่อมมีหุ้นที่จะถูกคัดออกเช่นกัน กลายเป็นประเด็นกดดันหุ้นพลังงานทั่วโลก รวมทั้งหุ้นพลังงานของไทยด้วย เพราะจะมีกองทุนจำนวนไม่น้อยที่จะต้องปรับพอร์ตการลงทุนเพื่ออิงไปกับดัชนี MSCI

          

โดย ภารดร เตียรณปราโมทย์ ผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ดัชนี MSCI ได้มีการประกาศว่าจะนำหุ้นบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของประเทศซาอุดีอาระเบียอย่าง “ซาอุดี อารามโก” เข้ามาคำนวณในดัชนี MSCI Emerging Markets เป็นกรณีพิเศษ

         และจากการตรวจสอบข้อมูลในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา (1 พ.ย.-11ธ.ค. 2562) พบว่า ราคาหุ้นน้ำมันทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเป็นอย่างมาก สะท้อนได้จากดัชนี MSCI ACWI Energy ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 0.98% เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่เพิ่มขึ้นกว่า 8.6%

          รวมทั้งยังส่งผลกระทบต่อหุ้นน้ำมันไทยที่อยู่ในดัชนี MSCI อาทิ บมจ.ปตท. (PTT), บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP), บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC), บมจ.ไทยออยล์ (TOP), บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL), บมจ.บ้านปู (BANPU) และ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) อย่างเห็นได้ชัด

         หุ้นน้ำมันของไทยที่อยู่ในดัชนี MSCI ทั้ง 7 บริษัทถูกนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้น PTT ถูกต่างชาติขายในรอบเกือบ 1 เดือนครึ่งที่ผ่านมากว่า 8,637 ล้านบาท รองลงมาคือ PTTEP ถูกขาย 3,000 ล้านบาท, IVL ถูกขาย 872 ล้านบาท, PTTGC ถูกขาย 740 ล้านบาท, IRPC ถูกขาย 405 ล้านบาท, TOP ถูกขาย 310 ล้านบาท และ BANPU ถูกขาย 23 ล้านบาท

         ด้าน ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่าการประกาศนำหุ้น “ซาอุดี อารามโก” เข้ามาคำนวณในดัชนี MSCI Emerging Markets ในรอบนี้จะกระทบหุ้นทั้งหมดที่อยู่ในดัชนีฯ ดังกล่าวสัดส่วนประมาณ 0.16% ซึ่งปัจจุบันน้ำหนักหุ้นไทยที่อยู่ในการคำนวณดัชนี MSCI Emerging Markets อยู่ที่ระดับ 2.7% จึงคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อหุ้นไทยที่อยู่ในดัชนี MSCI ราว 0.04%

        อย่างไรก็ตาม มองว่าผลกระทบดังกล่าวยังไม่มีนัยสำคัญมากนัก เนื่องจากมีสัดส่วนต่อหุ้นไทยค่อนข้างน้อย ประกอบกับช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมีการโยกเม็ดเงินการลงทุนออกจากหุ้นพลังงานไปใส่ในหุ้นใหม่ที่จะเข้ามาบ้างแล้ว สะท้อนได้จากการแห่เทขายหุ้นพลังงานทั่วโลกในช่วงก่อนต้นเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา

157641665677