พปชร.จวก 'ปิยบุตร' ไม่ทำตามกติกากกต. ชอบพุ่งล้ม-ออฟไซด์ พอแพ้ก็โทษกรรมการ

พปชร.จวก 'ปิยบุตร' ไม่ทำตามกติกากกต. ชอบพุ่งล้ม-ออฟไซด์ พอแพ้ก็โทษกรรมการ

รองโฆษก "พลังประชารัฐ" ชี้ "ปิยบุตร" ไม่ยอมรับมติกกต. เป็นความอับอายของนักกฎหมาย และเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีของนักการเมือง เปรียบเหมือนนักฟุตบอลไม่ทำตามกติกา ชอบพุ่งล้ม-ออฟไซด์ พอแพ้ก็โทษกรรมการ

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ หรือ อ้น อดีตผู้สมัครส.ส.กทม. รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ แถลงไม่เห็นด้วยกับมติ กกต. ที่ส่งศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค จากกรณีพรรคกู้เงินนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค 191 ล้านบาท ว่า  เพื่อป้องกันไม่ให้สังคมเกิดความสับสน จึงขอให้ความเห็นในอีกมุมหนึ่งและตั้งข้อสังเกตถึงข้อสงสัยของนายปิยบุตรว่าอาจจะไม่อยู่บนหลักเหตุผลของกฎหมาย ไม่พิจารณาจากข้อเท็จจริง และชี้นำสังคมเพื่อกล่าวหาองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบความโปร่งใสของนักการเมือง

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า วิธีคิดตามหลักตรรกะทั่วไป และเหตุผลของนักกฎหมาย คือ พรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคการเมืองหรือเป็นบริษัทเอกชน หากเป็นพรรคการเมืองก็มาดูกฎหมายที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองซึ่งก็คือ พรป.พรรคการเมือง ชื่อตรงตัวเลย และฉบับที่ใช้บังคับอยู่ก็คือ พรป. พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ซึ่งในมาตรา 62 กำหนดแหล่งรายได้ของพรรคการเมืองไว้ชัดเจนว่ามี 7 ประเภท คือ 1.เงินทุนประเดิม 2. เงินค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรค 3. เงินที่ได้จากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการ 4. เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการจัดกิจกรรมระดมทุน

5. เงิน ทรัพย์สิน และประโยชน์อื่นใดที่ได้จากการรับบริจาค  6. เงินอุดหนุนจากกองทุน และ 7. ดอกผลของเงินดังกล่าว เมื่อเข้าใจตามนี้แล้วก็มาดูว่า“เงินกู้” อยู่ในข้อใดหรือไม่ ก็ปรากฏว่าไม่ได้อยู่ใน 7 ประเภทที่ว่าเลย ดังนั้น “เงินกู้” จึงเป็นเงินนอกกฎหมาย เป็นเงินที่มีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่มีกฎหมายข้อใดอนุญาตให้ทำได้ ดังนั้นที่กกต. มีมติว่าเงินกู้ยืม 191 ล้านบาทเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 72 จึงเป็นการวินิจฉัยที่ถูกต้องแล้ว ฉะนั้นนายปิยบุตร ไม่ควรยึดติดมาตราตามพรป. พรรคการเมือง 2550 ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าที่ยกเลิกไปแล้ว

อ่านข่าว-

ทั้งนี้ตาม พรป. พรรคการเมือง 2560  ยังระบุถึงแหล่งเงินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือรวมทั้งเงินนั้นได้มาจากการฟอกเงิน คอร์รัปชัน การขายยาเสพติด หรือปล้นมาตามที่นายปิยบุตรกล่าวอ้าง และยังรวมไปถึงเงินอื่นๆ อีก เช่น เงินที่มีแหล่งรายได้นอกเหนือ 7 แหล่ง (ตามมาตรา 62) เงินบริจาคที่เกิน 10 ล้านบาทต่อปี (ตามมาตรา 66) เงินที่รับมาจากบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย (ตามมาตรา 74) ดังนั้นนายปิยบุตรควรไปทำความเข้าใจบทบัญญัติของ พรป. ฉบับนี้ให้ละเอียดอีกครั้ง การออกมาให้เหตุผลทางกฎหมายของนายปิยบุตรที่ไม่ยอมรับมติ กกต. จึงอาจเป็นที่น่าอับอายของนักกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญสูงในสาขามหาชน ซึ่งนายปิยบุตรควรกลับไปทบทวนอ่านหนังสือ “ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป” ของ ศ.ดร. หยุด แสงอุทัย ก่อนที่จะมาตัดสิน กกต. หรือใครว่าสอบตกหรือสอบผ่าน
 
ส่วนข้อสงสัย ของนายปิยบุตร ต่อการทำงานของ กกต. ว่าเร่งรัดคดีจนผิดสังเกตนั้น รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ข้อสงสัยของนายปิยบุตรเป็นการชี้นำสังคมเพื่อกล่าวหาองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบความโปร่งใสของนักการเมืองหรือไม่ เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงจะเห็นว่า กกต. ไม่ได้เร่งรัดการทำคดีนี้เป็นพิเศษแต่อย่างใดเลย กกต. ได้รับคำร้องจากคุณศรีสุวรรณเกือบ 7 เดือนแล้ว ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. และที่ผ่านมา กกต. ได้ขอเอกสารเพื่อพิจารณามาโดยตลอด พรรคอนาคตใหม่ต่างหากกลับเป็นฝ่ายเพิกเฉยและบ่ายเบี่ยงไม่ส่งพยานหลักฐานเอกสาร และขอขยายเวลาเรื่อยมา ดังนั้นการกล่าวหา กกต. จึงอาจเป็นแทกติกของนักการเมืองที่ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีแต่อย่างใด
 

น.ส.ทิพานัน ยังกล่าวถึงกรณีที่นายปิยบุตรเรียกร้องให้ กกต. ฟังเสียงสังคมว่า ไม่ทราบว่านายปิยบุตรกล่าวในฐานะนักกฎหมายหรือนักการเมือง หรืออะไร เพราะในฐานะนักกฎหมาย นายปิยบุตรต้องทราบดีว่า องค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบไม่ควรให้กระแสสังคมเป็นเครื่องชี้นำ กกต. ต้องทำตามหน้าที่คือพิจารณาตัดสินตามข้อตัวบทกฎหมายและพยานหลักฐานเอกสารต่างๆ และในฐานะนักการเมือง นายปิยบุตรก็ต้องทราบดีอีกเช่นกันว่า ความเห็นต่างๆ ของสังคมมีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับนายปิยบุตร ในสังคมประชาธิปไตยนั้น นายปิยบุตรควรยอมรับฟังความเห็นต่างด้วย ไม่ควรแนะให้คนอื่นเห็นตามตนเองและผู้สนับสนุนของตนเองเท่านั้น

“เมื่อทีมฟุตบอลของนายปิยบุตรทำฟาล์วเพราะหลงไปอ่านกติกาผิดเล่ม  ไม่ทำตามกติกาใหม่และไม่ยอมศึกษาให้เข้าใจ ดึงดันจะเล่นแบบเดิมจนละเมิดกติกาและถูกลงโทษให้เหลือผู้เล่นเพียง 10 คน พอโอกาสชนะไม่ค่อยมี แทนที่จะเล่นในเกมต่ออย่างสมศักดิ์ศรี กลับใช้แทกติกพุ่งล้ม ทำออฟไซด์บ่อยๆ ให้ผู้ชมเห็นว่าการที่กรรมการเป่าเตือนหรือตัดสินเป็นเพราะกรรมการกลั่นแกล้ง พอผลแข่งแพ้ก็โทษกรรมการ โทษกติกาว่าไม่ยุติธรรม ในการกระทำเช่นนี้ถือว่าทีมไม่เคารพกติกา ไร้น้ำใจนักกีฬา เล่นไม่สมศักดิ์ศรี และไม่เคารพแฟนฟุตบอลที่สนับสนุนทีม  หากยิ่งทำต่อไปคงจะมีเพียงกลุ่มฮูลิแกนที่สนับสนุนทีมเท่านั้น” น.ส.ทิพานัน กล่าว