‘ศรีสวัสดิ์’มุ่งลดต้นทุน ดันรายได้ปีหน้าโต20%

‘ศรีสวัสดิ์’มุ่งลดต้นทุน  ดันรายได้ปีหน้าโต20%

"ศรีสวัสดิ์" ตั้งเป้ารายได้ปีหน้าโต 20% จากการขยายพอร์ตสินเชื่อ และการเพิ่มสาขาอี 200-300 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่ 3.6พันแห่ง เดินหน้าคุมต้นทุนดำเนินงานต่อรายได้ที่ 42.4% พร้อมจับตาเอ็นพีแอลใกล้ชิด

นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD เปิดเผยว่า แนวโน้มรายได้ปี 2563 จะเติบโตประมาณ 20% จากปีนี้ เป็นผลจากการขยายพอร์ตสินเชื่อในสัดส่วนเดียวกัน ปัจจัยหนุนมาจากการขยายสาขาเพิ่มเติมอีก 200- 300 แห่ง จากปีนี้ที่มีสาขาประมาณ 3,600 แห่ง

“แนวโน้มปี 2563 ต้องยอมรับเศรษฐกิจโดยรวมเงียบลงจริง แต่สถานการณ์เช่นนี้จะยิ่งส่งผลบวกต่อบริษัท เพราะธนาคารพาณิชย์จะคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อ แต่ลูกค้ายังคงต้องการเงินหมุนเวียน ทำให้มองทางเลือกอื่นๆ ส่วนความกังวลเรื่องหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทสามารถคุมให้อยู่ในระดับประมาณ 4.3% หลังจากนี้เราจะเน้นการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดเพื่อควบคุมความเสี่ยงในเรื่องนี้ โดยนโยบายของบริษัทปีหน้าตั้งระดับเอ็นพีแอลในกรอบ 3-6%”

ส่วนมาตรการควบคุมภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR)ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะควบคุมหลังจากนี้ ด้วยลักษณะลูกค้าของบริษัทที่ไม่เหมือนกับธนาคารพาณิชย์ คือ พิจารณาการปล่อยกู้จากหลักทรัพย์ค้ำประกันเป็นหลัก และลูกค้าส่วนมากไม่มีเอกสารแสดงรายได้ ปัจจุบันจึงอยู่ระหว่างการปรึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือถึงกฎที่เหมาะสมกับธุรกิจของบริษัท

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะลดต้นทุนการเงิน จากการเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ราว 2 - 3 พันล้านบาท ช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลงมาอีก จากกว่า 3% ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้ ขณะเดียวกันบริษัทจะควบคุมต้นทุนการดำเนินงานต่อรายได้ (Net to income ratio) ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปัจจุบันที่ 42.4% หลังจากที่อัตราส่วนต้นทุนนี้ลดลงมาต่อเนื่องจาก 49.4% ในปี 2557

สำหรับพอร์ตสินเชื่อในปีหน้า ส่วนใหญ่จะยังเป็นรถยนต์ รองลงมาคือที่ดิน ซึ่งเพิ่มขึ้นมาค่อนข้างมากในปีนี้ จากประมาณ 20% มาเป็น 33% ถัดมาคือรถมอเตอร์ไซค์ อย่างไรก็ตาม พอร์ตสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน (นาโนไฟแนนซ์) จะมีสัดส่วนลดลงจากราว 6% เหลือ 3-4% เพราะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง และบริษัทไม่ได้มีความเชี่ยวชาญมากนัก นอกจากนี้ คาดว่ารายได้จากธุรกิจนายหน้าขายประกันจะเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 300 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดจะขายได้ประมาณหลักสิบล้านบาท

ส่วนฐานะการเงินของบริษัทในปัจจุบันค่อนข้างแข็งแกร่ง หลังจากที่บริษัทได้เพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงให้กับกลุ่มคาเธ่ย์ ไฟแนนซ์เชียล ซึ่งเป็นกลุ่มทุนจากไต้หวัน รวมมูลค่าราว 2.6 พันล้านบาท ส่งผลให้หนี้สินต่อทุนของบริษัทลดลงมาเหลือ 1.3 เท่า เป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำมากเทียบกับอุตสาหกรรม