สศก.จ่อซื้อกุ้ง 4 หมื่นตัน พยุงราคาตก

สศก.จ่อซื้อกุ้ง 4 หมื่นตัน พยุงราคาตก

สศก.เร่งแก้ปัญหากุ้งราคาตก เตรียมลุยอัดแคมเปญซื้อกุ้งออกจากตลาด 40,000 ตัน ราคา 150 บาทต่อกก. พร้อมเสริมสภาพคล่องเอกชน 5 พันล้านบาท

นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า สศก. และ กรมประมง ได้หารือแนวทางการแก้ไขปัญหาราคากุ้งขาวแวนนาไมร่วมกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการค้าภายใน กรมการค้าต่างประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย และเครือข่ายผู้เลี้ยงกุ้งไทย เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา ที่ประชุมเห็นชอบแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหา โดยการนำผลผลิตส่วนเกินกุ้งออกจากตลาด จำนวน 40,000 ตัน และกำหนดราคาเป้าหมายที่เกษตรกรขายได้ให้กุ้งขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม อยู่ที่กิโลกรัมละ 150 บาท

ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากสถานการณ์ราคาซื้อขายกุ้งขาวแวนนาไมที่ปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงเดือนม.ค.-ก.ย. ปี 2562 พบว่า กุ้งขนาด 70 ตัวต่อกิโลกรัม ราคาที่เกษตรกรขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 139 บาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่ก่อน6%เนื่องจากไทยส่งออกกุ้งลดลง โดยมีปริมาณส่งออก 126,658 ตัน ลดลง 5% คิดเป็นมูลค่า 37,531 ล้านบาท ลดลง 10% ส่วนหนึ่งเพราะราคากุ้งไทยมีราคาสูงกว่าคู่แข่งส่งผลให้การส่งออกกุ้งไทยไปตลาดโลกลดลง ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาททำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลงไปด้วย นอกจากนี้ ทางผู้ประกอบการห้องเย็นและโรงงานแปรรูปขาดสภาพคล่อง เลิกกิจการไปบางส่วน ดังนั้น ความต้องการกุ้งเพื่อส่งออกจึงน้อยลง และกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งได้รับความเดือดร้อนจากราคากุ้งที่ตกต่ำตั้งแต่ช่วงต้นปี 2562 เป็นต้นมา

นางอัญชนา ตราโช รองเลขาธิการ สศก.กล่าวว่า มาตรการช่วยแก้ไขปัญหาราคากุ้งกรมการค้าภายใน ได้เตรียมดำเนินการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการที่รับซื้อกุ้งเพิ่มจำนวน 30,000 ตัน วงเงินกู้ 5,000 ล้านบาท โดยชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา 3% ระยะเวลา 6 เดือน วงเงิน 75 ล้านบาท และการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการที่รับซื้อกุ้งเพื่อเก็บในสต็อกระยะเวลา 3 เดือน จำนวน 10,000 ตัน วงเงินกู้ 1,500 ล้านบาท โดยชดเชยดอกเบี้ยในอัตรา 3% ระยะเวลา 6 เดือน วงเงิน 22.50 ล้านบาท และชดเชยค่าเก็บกิโลกรัมละ 1 บาท เป็นเงิน 10 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 32.50 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งจัดทำโครงการและมาตรการดังกล่าว

นอกจากนี้ เตรียมขยายการส่งออกไปตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ให้มากขึ้นโดยให้กรมการค้าต่างประเทศจัดทีมเจรจาระหว่างผู้ประกอบการส่งออกไทยกับผู้ประกอบการนำเข้ารายใหม่ๆ พร้อมกับส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศโดยให้กรมการค้าภายในจัดกิจกรรมส่งเสริมการบริโภค