โรงไฟฟ้าชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจ 8 หมื่นล้าน

โรงไฟฟ้าชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจ 8 หมื่นล้าน

“สนธิรัตน์” เร่งเครื่องดันเศรษฐกิจปี 2563 หวังอัดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโรงไฟฟ้าชุมชนเฟสแรก 8 หมื่นล้าน ถกอนุกรรมการกองทุนอนุรักษ์ฯ เคาะงบ 1 หมื่นล้าน หนุนพลังงานชุมชน

นโยบายพลังงานเพื่อทุกคนถูกกำหนดให้เป็นแผนงานสำคัญของกระทรวงพลังงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยเฉพาะในปี 2563 จะเร่งผลักดันเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนเงินในช่วงที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวปาฐกถาพิเศษ “นโยบายพลังงานเพื่อทุกคน” ในงานสัมมนาการสื่อสารนโยบายพลังงานสู่การปฏิบัติ ปี 2563 ว่า ปีหน้า ถือเป็นปีที่เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะลำบาก จากผลพวกเศรษฐกิจโลกที่ไม่ดีนัก ดังนั้น พลังงานถือเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยลดภาระค่าครองชีพ และช่วยสร้างรายได้ในระดับชุมชน ปี 2563 จะเร่งการขับเคลื่อนนโยบาย “Energy For All พลังงานเพื่อทุกคน” ลงไปสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับฐานรากของประเทศ 

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้วางเป้าหมายระยะสั้นที่จะเร่งดำเนินการให้สำเร็จเป็นรูปธรรม 6 ด้าน ดังนี้ 1.หมุนเวียนเศรษฐกิจฐานราก ผ่านโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน 1,000 เมกะวัตต์ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะนำเสนอรายละเอียดโครงการฯเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) อนุมัติในวันที่ 16 ธ.ค.นี้ 

รวมทั้งคาดว่าปี2563 จะมีเม็ดเงินลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ เฟสแรก 7-8 หมื่นล้านบาท โดยหลักการจัดตั้งโรงไฟฟ้าจะพิจารณาผลประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับเป็นหลัก เช่น เกิดการใช้วัตถุดิบในพื้นที่และต้องยกระดับรายได้ของชุมชน ซึ่งหากพบว่า ดำเนินการไปแล้วเอกชนรายใด ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข หรือ เบี้ยวชุมชน จะยกเลิกการรับซื้อไฟฟ้าทันที

2.ด้านการเข้าถึงไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายทุกพื้นที่ของประเทศไทยที่มีเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้องจะมีไฟฟ้าใช้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต ทั้งพื้นที่บริเวณชายขอบ ชายแดน ปลายสายส่งไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันพื้นที่ที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้มีประมาณ 40 จังหวัด กว่า 500 หมู่บ้าน และมีพื้นที่อยู่ปลายสายส่งที่เกิดปัญหาไฟตกไฟดับบ่อยอีกจำนวนมาก 

เบื้องต้นจะแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและกลุ่มที่ขัดต่อกฎหมาย เช่น เป็นพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการพื้นที่ที่ไม่ขัดต่อกฎหมายได้ก่อน พร้อมกำหนดแผนดำเนินการให้เสร็จภายใน 3-5 ปี ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำกรอบการสนับสนุนผ่านกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน (กองทุนอนุรักษ์ฯ) เพื่อขับเคลื่อนในทางปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม

ดันสถานีพลังงานชุมชน

3.จัดทำสถานีพลังงานชุมชนในพื้นที่ที่มีศักยภาพทั่วประเทศ โดยใช้โมเดลพัฒนาชุมชนของ จ.กาญจนบุรี เป็นแนวทางทำสถานีพลังงานชุมชนแบบครบวงจรที่นำพลังงานจากแสงอาทิตย์ ชีวมวล ขยะ และเชื้อเพลิงฟอสซิลมาบริหารจัดการ เพื่อลดรายจ่ายด้านพลังงานและสร้างรายได้ต่อยอดอาชีพของชุมชน โดยจะพิจารณานำเงินกองทุนอนุรักษ์ฯ เข้ามาสนับสนุน

“นโยบายจะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก คือ โรงไฟฟ้าชุมชนกับพลังงานชุมชน ซึ่งโดยหลักการจะแตกต่างกัน คือ พลังงานชุมชนจะเป็นลักษณะผลิตไฟฟ้าใช้เองไม่ขายเข้าระบบ (Off Grid) แต่โรงไฟฟ้าชุมชนจะมี 2 มิติ ทั้ง Off Grid และขายเข้าระบบ (On Grid)” นายสนธิรัตน์ กล่าว

เบื้องต้น นโยบาย “พลังงานชุมชน” จะมีทั้งส่วนที่ใช้เงินจากกองทุนอนุรักษ์ฯ เข้าไปสนับสนุน หรือ อาจดึงภาคเอกชน เข้าร่วมจัดทำโครงการความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร (CSR) โดยขณะนี้เตรียมความพร้อมรายละเอียดโครงการเพื่อนำเข้าสู่การพิจาณาของคณะอนุกรรมการกองทุนฯ หลังจากมีผู้ยื่นเสนอคำขอกว่า 100 โครงการแล้ว คาดว่าจะทยอยอนุมัติจัดสรรงบประมาณปี 2563 ที่มีอยู่ 1 หมื่นล้านบาท ได้ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.2563

จ่อปรับโครงสร้างราคาพลังงาน

4.ด้านค่าครองชีพ ที่นอกเหนือจากช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยด้านส่วนลดค่าก๊าซหุงต้มและค่าไฟฟ้าผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงานทั้งน้ำมันและก๊าซให้เกิดความเป็นธรรม

5.ส่งเสริมเชื้อเพลิงชีวภาพ โดยผลักดันการใช้ดีเซล บี10 และอี 20 เป็นน้ำมันเกรดมาตรฐานในส่วนของดีเซลและเบนซิน เพื่อดูดซับปริมาณน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ส่วนเกิน 4 แสนตันออกจากตลาด ซึ่งจะช่วยสร้างเสถียรภาพราคา และขณะนี้ยกระดับราคาปาล์มน้ำมันขึ้นมาที่ กิโลกรัมละกว่า 4 บาทแล้ว อีกทั้งช่วยลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 รวมทั้งปี 2563 จะออกมาตรการส่งเสริม อี 20

6.สนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งได้หารือกับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมาดูแล โดยจะต้องส่งเสริมร่วมกันทั้งระบบ พร้อมพิจารณามาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อรองรับทิศทางในอนาคต ซึ่งในส่วนของกระทรวงพลังงาน พร้อมสนับสนุนสถานีชาร์จไฟฟ้าและทบทวนอัตราค่าไฟฟ้าที่เหมาะสม

เล็งถกส่วนลดค่ารถไฟฟ้า

นอกจากนี้ ยังจะพิจารณานำกำลังผลิตไฟฟ้าส่วนเกินที่เหลือใช้ หรือ สำรองไฟฟ้าที่ประเทศมีอยู่ระดับ 30% นำมาเป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าสำหรับรถไฟฟ้าสาธารณะ เช่น BTS และ MRT โดยมีเป้าหมายชัดว่าเมื่อดำเนินการแล้วจะต้องลดค่าตั๋วโดยสารให้กับภาคประชาชน และไฟฟ้าส่วนเกินนี้ยังเป็นการเตรียมพร้อมเปลี่ยนผ่านไปสู่การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการค้าไฟฟ้าระหว่างประเทศ ตามแผนการเชื่อมโยงไฟฟ้าของอาเซียน (อาเซียนกริด) ด้วย คาดว่าแต่ละแผนจะชัดเจนในเร็วๆนี้

นายสนธิรัตน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการปรับปรุงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ ปี2561-2580 (PDP2018) ที่กำหนดเป้าหมายอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยระยะ 20ปี อยู่ที่ 3.58 บาทต่อหน่วย ควรจะต้องปรับให้คำนึงถึงต้นทุนการแข่งขันของประเทศด้วย โดยเฉพาะเวียดนาม ที่มีค่าไฟฟ้าถูกกว่าประเทศไทย ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการมีโรงไฟฟ้าถ่านหินเกิดขึ้น ฉะนั้น ไทยก็ควรจะพิจารณาความเหมาะสมของโรงไฟฟ้าถ่านหินด้วย

ลุยเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทะเล

อีกทั้ง ปี 2563 จะผลักดันการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา เพื่อหาข้อตกลงในการพัฒนาพื้นที่ปิโตรเลียมทับซ้อนระหว่างกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อความมั่นคงร่วมกันใน 20 ปีข้างหน้า รองรับก๊าซในอ่าวไทยลดลง แม้ว่าการประมูลแหล่งบงกช และเอราวัณจะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ปริมาณก๊าซเหลือน้อยจึงต้องเตรียมความพร้อมรองรับไว้

“กระทรวงฯเตรียมปรับเพิ่มขั้นของข้าราชการพลังงานจังหวัดให้ขึ้นระดับ ซี9 ซึ่งถือเป็นระดับผู้บริหาร โดยได้ปรับขึ้นไปแล้ว 22 อัตรา และจะปรับเพิ่มอีก 44 ตำแหน่ง ฉะนั้นพลังงานจังหวัก เป็นหัวใจสำคัญที่ทำงานใก้ชิดชุมชนจะต้องช่วยขับเคลื่อนนโยบายลงสู่เศรษฐกิจระดับฐานรากอย่างเข้มแข็ง” นายสนธิรัตน์ กล่าว

นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในอนาคต พลังงานจังหวัดจะขึ้นดำรงตำแหน่งรองอธิบดี หรือ อธิบดีได้ด้วย จากเดิมที่จะก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งดังกล่าวยาก โดยขั้นแรกต้องจัดให้แต่ละพลังงานจังหวัดมีข้าราชการระดับบริหารให้ครบ