ถล่มขาย ‘หุ้นแบงก์’ ผวาคุมค่าฟี

ถล่มขาย ‘หุ้นแบงก์’ ผวาคุมค่าฟี

หุ้นกลุ่มแบงก์ร่วง 1.5% ผสมโรงกดดัชนีหุ้นไทย หลัง “แบงก์ชาติ” เตรียมคุมค่าธรรมเนียมเรียกเก็บ ‘เอสเอ็มอี - รายย่อย’ โบรกแนะเลี่ยงลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ใหญ่ที่มีสัดส่วนลูกค้าเอสเอ็มอีมาก

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) มีแนวคิดที่จะปรับปรุงค่าธรรมเนียม(ค่าฟี) การใช้บริการทางการเงิน เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการบริการทางการเงินอย่างเป็นธรรม (มาร์เก็ตคอนดักท์) สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของธนาคารพาณิชย์มากขึ้น และเป็นธรรมกับผู้ใช้บริการทางการเงินมากขึ้น โดยคาดว่าจะออกแนวปฏิบัติใหม่ภายในไตรมาสแรกปีหน้า โดยจุดแรกที่ธปท.ต้องเข้าไปดูก่อน คือ ค่าธรรมเนียมที่คิดธุรกิจเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่มีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ และจะพิจารณาส่วนของรายย่อยต่อไป

ประเด็นดังกล่าวกดดันหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ให้ปรับตัวลงมา วานนี้ (4 ธ.ค.) ประมาณ 1.5% โดยหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปรับตัวลดลงมากที่สุด 3.29% ปิดที่ 147 บาท รองลงมาคือ หุ้นธนาคารทหารไทย (TMB) ลดลง 3.21% ปิดที่ 1.51บาท หุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ลดลง 1.67% ปิดที่ 118 บาท หุ้นธนาคารกรุงเทพ ลดลง 2.02% ปิดที่ 170 บาท คิดเป็นผลลบต่อดัชนีราว 3 จุด ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดตลาดที่ 1,565.45 ลดลง 2.18 คิดเป็น 0.14% มูลค่าการซื้อขายรวม 45,085 ล้านบาท

นายธนภัทร ฉัตรเสถียร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ในระยะแรกดูเหมือนว่า ธปท.จะเน้นไปที่การควบคุมค่าธรรมเนียมส่วนของ SME ซึ่งในส่วนนี้จะกระทบต่อธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารทหารไทย (TMB) และธนาคารกรุงเทพ (BBL) ซึ่งเป็นธนาคารที่มีสัดส่วนลูกค้า SME มากกว่าธนาคารอื่น

อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามดูว่ารายละเอียดของการควบคุมที่จะเป็นแนวปฏิบัติจริงนั้นเป็นอย่างไร เพราะค่าธรรมเนียมที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้าเหล่านี้มีหลายส่วน

“เบื้องต้นเรายังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้ว่าจะรุนแรงแค่ไหน เพราะยังไม่ทราบในรายละเอียดว่าธปท.จะควบคุมมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามเชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาในระดับนี้ได้รับรู้ความกังวลในเบื้องต้นไปแล้วก่อนที่จะทราบแนวทางควบคุมจริง หากคุมเข้มก็จะกระทบต่อผลประกอบการระยะยาวแน่ๆ ฉะนั้นในระยะสั้นจึงแนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มแบงก์ไปก่อน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีลูกค้าเอสเอ็มอีมาก”

ส่วนในระยะถัดไป หากธปท.เริ่มควบคุมการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากรายย่อยเช่นกัน จะกระทบกับหุ้นแบงก์ที่มีกลุ่มลูกค้ารายย่อยสูง ได้แก่ ทิสโก้ (TISCO) ธนชาต (TCAP) และไทยพาณิชย์ (SCB) ทั้งนี้ มองว่าหุ้นกลุ่มแบงก์ที่อ่อนตัวลงมาต่อเนื่องเป็นหนึ่งในกลุ่มที่กดดันดัชนี SET ให้ยังคงเป็นขาลง

ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นยังไม่สามารถประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อกลุ่มแบงก์ในเชิงตัวเลขออกมาได้ เพราะค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บโดยทั่วไปมีอยู่หลายประเภท ซึ่งเรายังไม่ทราบว่าธปท.จะควบคุมในส่วนใดบ้าง อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวถือเป็นปัจจัยลบที่เข้ามากระทบ ซึ่งแน่นอนว่าราคาหุ้นมักจะตอบรับในเชิงลบอยู่แล้ว

“รายได้จากค่าธรรมเนียมของกลุ่มแบงก์คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20-30% ของรายได้รวม ซึ่งถือว่าสำคัญ แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้น คือเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโดยภาพรวมที่ชะลอตัวลง ส่วนปัจจัยเรื่องค่าธรรมเนียมก็เข้ามากดดันให้แย่ลงไปอีก ในมุมของการลงทุน สำหรับแบงก์ใหญ่ยังไม่เห็นปัจจัยบวกใดๆ เข้ามากระตุ้น ฉะนั้นหากต้องการลงทุนในหุ้นกลุ่มแบงก์ จึงแนะนำให้เลือกหุ้นที่มีเงินปันผลสูงระดับหนึ่ง อาทิ ธนชาต (TCAP) และทิสโก้ (TISCO)”