'สนธิรัตน์' ดันแผนไทยฮับแอลเอ็นจี

'สนธิรัตน์' ดันแผนไทยฮับแอลเอ็นจี

กบง.เห็นชอบแผนส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชน รอชง กพช. 16 ธ.ค.นี้ ไฟเขียวเดินหน้าโครงการ พร้อมรับทราบแผน “รีจีนอล แอลเอ็นจี ฮับ” ของ ปตท. เริ่มดำเนินการไตรมาส 1 ปีหน้า คาดกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.6 แสนล้านบาทใน 10 ปี (2563-2573)

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.)วานนี้(4ธ.ค.)ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบแผนส่งเสริมโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน ตามที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน(พพ.)นำเสนอ และเตรียมนำเสนอแผนฯเพื่อขอการอนุมัติต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)ในวันที่ 16 ธ.ค.นี้ ต่อไป ก่อนที่จะประกาศรายละเอียดหลักเกณฑ์การลงทุนต่างๆ

นอกจากนี้ กบง. ยังรับทราบแนวทางการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อ-ขายก๊าซธรรมชาติเหลว(LNG)ของภูมิภาค (Regional LNG Hub) ซึ่งเป็นผลศึกษาที่ปตท.ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาประเทศไทยให้เป็น Regional LNG Hub พัฒนาให้เกิดเป็นศูนย์กลางการประกอบธุรกิจซื้อ-ขาย LNG ภายในภูมิภาค

โดยแผนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการดำเนินธุรกิจ Regional LNG Hub คาดว่าจะเริ่มทดสอบกิจกรรมการให้บริการต่างๆ ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 เช่น ระบบบริการขนถ่าย LNG (Reload System) ให้บริการเติม LNG แก่เรือที่ใช้ LNG เป็นเชื้อเพลิงในการเดินเรือ (Bunkering) และทำการตลาดเพื่อสื่อสารให้กับผู้ค้า LNG เข้ามาใช้บริการ

ขณะที่ช่วงไตรมาสที่ 2 - 3 ของปี 2563 จะเริ่มทดลองค้าขาย LNG เชิงพาณิชย์ จะมีการทบทวนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในระดับภูมิภาคและระดับสากล คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบประมาณปลายปี 2563 หรือต้นปี 2564 เป็นต้นไป

“การพัฒนา Regional LNG Hub จะทำให้ประเทศไทยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการ LNG เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เพิ่มการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิม"

ผลของการพัฒนาเป็น Hub ดังกล่าวจะเกิดผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของไทยโดยรวมประมาณ 165,000 ล้านบาทในช่วง 10 ปี (ปี 2563-2573) จากปริมาณซื้อ-ขาย ราวปีละ 10,000 ตัน และมีผลต่ออัตราการจ้างงานเฉลี่ยในประเทศเพิ่มขึ้นเท่ากับ 16,000 คนต่อปี อีกทั้งยังช่วยลดภาระการส่งผ่านอัตราค่าบริการไปยังค่าไฟฟ้าด้วย” นายสนธิรัตน์ กล่าว

ทั้งนี้ ประเทศไทยมีศักยภาพเพียงพอที่จะพัฒนา Regional LNG Hub เพราะมีความพร้อมทั้งด้านความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่อยู่ระดับสูงโดยเฉลี่ยปี 2562 นำเข้าประมาณ 5 ล้านตันต่อปี ศักยภาพด้านภูมิรัฐศาสตร์ ที่ตั้งอยู่ตำแหน่งเป็นศูนย์กลางของประเทศที่มีความต้องการ LNG ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม 

ตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการซื้อ-ขายของ LNG ภายในภูมิภาคคิดเป็นประมาณ 60% ของการซื้อ-ขาย LNG ในโลก และมีความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องรวมทั้ง มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานรองรับการให้บริการอย่างหลากหลาย

อีกทั้ง ได้มอบหมายคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) รวมกันจัดทำรายละเอียดแผนงานต่างๆ และการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบต่างเพื่อรองรับสู่การพัฒนา Regional LNG Hub และนำกลับมาเสนอต่อที่ประชุม กพช.ต่อไป

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า กบง. ยังรับทราบรายงานความก้าวหน้าของสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่าง ปตท. และ กฟผ. (Global DCQ) ซึ่งเป็นสัญญาเพื่อใช้กับโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านเชื้อเพลิงก๊าซฯ และมีความยืดหยุ่นในการจัดหาเชื้อเพลิงก๊าซฯ โดยเสรีที่ไม่มีผลกระทบต่อค่าไฟฟ้า ภายใต้แผนความต้องการใช้ก๊าซฯของประเทศ ซึ่งสัญญากำหนดปริมาณความต้องการใช้ก๊าซฯ เฉลี่ยรายวัน (DCQ) โดยการหารือร่วมกันระหว่าง ปตท. และ กฟผ.ยังไม่ได้ข้อสรุป ยังมีบางประเด็นต้องเจรจา

157554529132