เน้นยืน 1560

เน้นยืน 1560

คาด SET Index มีโอกาสอ่อนตัวลงไปทดสอบแนวรับที่ระดับ 1,560 จุด อีกครั้ง ตลาดยังถูกกดดันจากหลายปัจจัยลบ

ตลาดหุ้นวานนี้

SET Index ลดลง 1.9 จุด (-0.12%) ปิดที่ระดับ 1,568 จุด มูลค่าการซื้อขาย 4.4 หมื่นล้านบาท แม้จะมีแรงซื้อคืนในกลุ่มสื่อสาร แต่กลุ่มอื่นๆยังถูกต่างชาติทยอยขายลดพอร์ต อาทิ อสังหาฯ, ค้าปลีก และ ธนาคาร โดยวานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอีก 1,525 ล้านบาท ต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 แต่พลิกเป็น Net Long TFEX 7,262 สัญญาเป็นวันแรกในรอบ 5 วันทำการ และซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรต่อเนื่อง 5,086 ล้านบาท 

แนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้

เราคงมุมมองเป็นลบคาด SET Index มีโอกาสอ่อนตัวลงไปทดสอบแนวรับที่ระดับ 1,560 จุด อีกครั้ง ตลาดยังถูกกดดันจากหลายปัจจัยลบ โดยเฉพาะปัญหา Trade war ระหว่างจีนกับสหรัฐมีแนวโน้มยืดเยื้อหลังจาก โดนัล ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ว่าการบรรลุข้อตกลงคงต้องรอหลังการเลือกตั้งของสหรัฐในเดือน พ.ย.ปีหน้า นอกจากนี้ปัญหา Trade ยังมีแนวโน้มรุกรามไปสู่ประเทศคู่ค้าอื่นๆ หลังจากสหรัฐเตรียมประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากบราซิล และ อาร์เจนติน่า และเตรียมขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากฝรั่งเศส ออสเตรีย, อิตาลี และตุรกี เพื่อตอบโต้ที่ประเทศเหล่านี้วางแผนจะเรียกเก็บภาษีกับกลุ่มสินค้าเทคโนโลยีของสหรัฐ

กลยุทธ์การลงทุน: Selective Buy

  • กลุ่ม Domestic Play AOT, ADVANC, INTUCH, BTS, BEM
  • กลุ่มที่คาดว่างบ 4Q19 จะเติบโตขึ้น ได้แก่ GPSC, CPF, ERW, TASCO, EPG, SAWAD, MTC, JMT, BCH, CHG
  • กลุ่ม Dividend Stock: KKP, TISCO, TTW

หุ้นแนะนำวันนี้

  • ADVANC (ปิด 211 ซื้อ/เป้า 260) ทยอยสะสมมองราคาหุ้นลดลงสะท้อนข่าวสงครามราคาไปมากแล้ว และจากการเช็คข้อมูลล่าสุดพบว่าผู้ประกอบการทยอยถอนโปรโมชั่นในการแข่งขันราคาออกไปแล้วเช่นกันจึงเชื่อว่าปัจจัยนี้จะช่วยลดความกังวลของตลาดออกไป นอกจากนี้ราคาหุ้นที่ลดลงแรงทำให้ Dividend yild เริ่มน่าสนใจประมาณ 3.8-4%
  • MTC (ปิด 60.75 ซื้อ/เป้า IAA Consensus 66.9 บาท) กลุ่มไฟแนนซ์ได้ประโยชน์จาก Trend ดอกเบี้ยขาลงช่วยลดต้นทุนเงินทุน โดยปีหน้า MTC มีหนี้และหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดและสามารถ Refinanc ได้มากที่สุดของกลุ่มที่ประมาณ 8,700 ล้านบาท

บทวิเคราะห์วันนี้

Transportation sector (Top pick: BTS)

ประเด็นสำคัญวันนี้

  • (-) Trade war ยืดเยื้อ ทรัมป์ ระบุเจราจีน- สหรัฐ อาจต้องรอหลังเลือกตั้งปี 2020: สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐมีแนวโน้มที่จะยืดเยื้อมากกว่าที่ตลาดคาดหลังจากล่าสุด โดนัล ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ว่าการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอาจจะล่าช้าออกไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือน พ.ย.ปีหน้า ซึ่งคาดว่าจะเป็นคำพูดที่ต้องการกดดันจีนหลังจากทีจีนพยามต่อรองเพื่อลดข้อเรียกร้องจากอเมริกา หาก Trade war ยืดเยื้อคาดกระทบภาคการค้าโลก, World GDP และจะเป็นลบต่อภาคการส่งออกและ GDP ของไทยในปีหน้าโดยตรง ปัจจัยลบดังกล่าวกดดันให้ดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 280 จุด (-1%) ปิดที่ระดับ 27,503 จุด ขณะที่สินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยเช่นทองคำปรับตัวขึ้น 15.2 ดอลลาร์ (+1%) ปิดที่ระดับ 1,484 ดอลลาร์ต่ออนซ์
  • (+/-) ครม.อนุมัติ SSF แทน LTF และปรับเกณฑ์การลงทุนในกอง RMF ใหม่ คาด Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นลดลงกดดัน Upside ของ SET target ในปีหน้า: โดยกอง SSF (Super Savings Fund) อนุญาติให้นำเงินซื้อกองทุนหักลดหย่อนภาษ๊ได้ไม่เกิน 30% (LTF เดิม 15%) ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท (LTF เดิมไม่เกิน 500,000) และต้องถือเงินลงทุน 10 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อ (LTF เดิม 7 ปี) ขณะที่ RMF เพิ่มสิทธิลดหย่อนเป็น 30% จากเดิม 15% แต่ไม่เกิน 500,000 บาทเช่นเดิม อย่างไรก็ตามเมื่อรวมวงเงินใช้สิทธ์ลดหย่อนของ SSF+RMF+PVF แล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท ลดลงจากเดิมที่ให้ LTF+RMF+PVF ไม่เกิน 1 ล้านบาท นอกจากนี้ด้วยเงื่อนไขที่เปิดทางให้ SSF หรือ RMF สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ใดก็ได้ คาดว่าจะทำให้เม็ดเงินจากทั้ง 3 กองทุนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นน้อยลงและจะเป็นลบต่อ Upside ของ SET Target ในปีหน้า
  • (+) คาดหวัง กลุ่ม OPEC+Non OPEC ขยายเวลาลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงราคาน้ำมัน: OPEC + Non OPEC ประชุม 5-6 ธ.ค. เราแบ่งแนวทางประชุม 3 แนวทาง คือ 1) Worse case: OPEC + Non OPEC มีมติยกเลิกการลดการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน แนวทางนี้มีความเป็นไปได้น้อยสุด, 2) Base case: OPEC + Non OPEC มีมติขยายเวลาการปรับลดปริมาณการผลิตที่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปจนถึงกลางปีหน้า จากมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดอายุโครงการในเดือน มี.ค.ปีหน้า และ 3) Best case: OPEC + Non OPEC ตัดสินใจลดปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันซึ่งลดการผลิตอยู่แล้วที่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จะลดเพิ่มเป็น 1.5 หรือ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน เรามองว่าแนวทางที่ 2 เป็นไปได้มากสุด ซึ่งจะช่วยให้ราคาประคองตัวในกรอบ USD55-65/bbl หากผลออกมาเป็นแนวทางที่ 3 จะเป็นบวกกับราคาน้ำมันมากที่สุดโดยมีโอกาสที่ราคาน้ำมันดิบ WTI จะพุ่งขึ้นไปซื้อขายที่ระดับ USD70/bbl