'เฟทโก้'ผิดหวังคลังมองข้ามความสำคัญลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้น

'เฟทโก้'ผิดหวังคลังมองข้ามความสำคัญลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้น

'ไพบูลย์ 'โพสต์เฟสบุ๊ค ผิดหวังก.คลังไม่เห็นความสำคัญสร้างวัฒนธรรมลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้น เหตุไม่บังคับกองทุนใหม่ลงทุนหุ้นพร้อมไม่เห็นด้วย ลดวงเงินลงทุนทุกกองทุนเหลือไม่เกิน5แสนบาท จากเดิม1ล้านบาท แต่ยังชื่นชมเห็นความสำคัญการออมระยะยาว

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย โพสต์ เฟสบุ๊ค ว่า ผิดหวังที่กระทรวงการคลังไม่เห็นถึงความสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้น (long-term equity investment culture) แต่ชื่นชมที่ยังเห็นถึงความสำคัญของการออมระยะยาว ด้วยการขยายวงเงินลงทุนสูงสุดในกองทุน SSF และ RMF ให้ถึง 30% ของรายได้พึงประเมิน (จากเดิม 15%)

กลุ่มคนที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการจัดตั้งกองทุน SSF และการปรับเงื่อนไขกองทุน RMF คือกลุ่มคนรุ่นใหม่ หรือคนที่รายได้ยังไม่สูงมากนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี เพราะวินัยการออมต้องเริ่มสร้างตั้งแต่วัยเริ่มทำงาน

แต่ที่ไม่เห็นด้วย คือการที่กระทรวงการคลังเอาวงเงินลดหย่อนของกองทุนเพื่อการออมทุกประเภทมารวมกัน และกำหนดเพดานไว้ที่ 500,000 บาทเท่านั้น (จากเดิม 1 ล้านบาท) เพราะจะทำให้คนรายได้ปานกลางที่มีศักยภาพในการออมสูง อาจเลือกที่จะออมน้อยลง และถ้ากลุ่มเป้าหมายหลักที่รัฐบาลต้องการให้ออมมากๆ เลือกที่จะไม่ออมเต็มที่ ก็จะทำให้เงินออมรวมของทั้งระบบไม่เพิ่มขึ้นเท่าที่ควร

การที่ไม่บังคับให้กองทุน SSF ต้องลงทุนในหุ้นเลย (ผิดกับ LTF ที่บังคับให้ลงทุนส่วนใหญ่ในหุ้น) ไม่น่าจะตอบโจทย์สังคมสูงวัย ที่ต้องทำให้ทุกคนมีรายได้พอใช้หลังเกษียณ เพื่อไม่ให้เป็นภาระของภาครัฐ เพราะต้องยอมรับว่าคนไทยยังมีความรู้เรื่องการลงทุนน้อย และมีแนวโน้มที่คนส่วนใหญ่จะเลือกลงทุนในกองทุน SSF ประเภทเสี่ยงตำ่ ผลตอบแทนที่จะได้รับจากการออมก็จะตำ่ตามไปด้วย ซึ่งอาจทำให้รายได้หลังเกษียณไม่เพียงพอ

และจะเป็นที่น่าเสียดายมาก ถ้าวัฒนธรรมการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้น ที่มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ (นับตั้งแต่มีการจัดตั้งกองทุน LTF) เริ่มสะดุดลง เพราะขาดแรงจูงใจ และนักลงทุนหันกลับไปลงทุนระยะสั้นๆ แบบวันต่อวันกันมากขึ้น เสถียรภาพของระบบการเงินก็จะลดลง

คงต้องติดตามกันต่อไป ว่ากองทุน SSF จะสามารถดึงดูดความสนใจของคนรุ่นใหม่ได้มากน้อยแค่ไหน