‘ทวี’ รับซื้อที่สปก.จากทหาร ปปช.จ่อคุ้ยทรัพย์ ‘ปารีณา’

 ‘ทวี’ รับซื้อที่สปก.จากทหาร  ปปช.จ่อคุ้ยทรัพย์ ‘ปารีณา’

“ทวี” พลั้งปาก ซื้อที่ สปก.จากทหาร มาครอบครองเอง พร้อมเปิดเอกสาร ภบท.5 ระบุชื่อผู้ขายสู้คดี อ้างไม่รู้ “ปารีณา” นำที่ดินพ่อแจ้งบัญชีทรัพย์ ขณะที่กรมป่าไม้ สั่งปักป้าย “พื้นที่ตรวจยึด” ระบุดำเนินกิจการได้จนกว่าคดีสิ้นสุด

หลังการแถลงข่าวของนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถึงการดำเนินคดีกับ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในความผิดจากกรณีบุกรุกที่ป่า 46 ไร่เศษ โดยเป็นพื้นที่ป่าสงวนป่า ฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี 41-1- 59 ไร่ และอยู่ในเขตป่า ตามพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 จำนวน 4-3-81 ไร่ นับเป็นจุดเริ่มต้นตามกระบวนการทางกฎหมาย 

วานนี้ (3 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ให้สัมภาษณ์กรณีดังกล่าวว่า ตนได้กำชับให้กรมป่าไม้จัดทำเอกสารให้รอบคอบ เนื่องจากเป็นคดีที่สังคมให้ความสนใจ ดังนั้นการดำเนินการต่างๆ ต้องรัดกุมเพื่อไม่ให้มีผลต่อเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงาน 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามกรณีมีพื้นที่ทับซ้อน ระหว่างที่ส.ป.ก.กับกรมป่าไม้ จะเกิดปัญหาจนไม่สามารถเอาผิดในคดีนี้หรือไม่ นายวราวุธ ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่น่ามีปัญหา เพราะมีกฎหมายกำหนดพื้นที่ไว้ชัดเจนว่าหน่วยงานใดดูแลพื้นที่จุดใด และเมื่อถึงเวลาที่แจ้งความแล้ว จากนั้นก็อยู่ในขั้นตอนการสอบสวนซึ่งกรมป่าไม้ก็จะให้ข้อมูลเท่าที่มี

ผู้สื่อข่าวถามถึงความเป็นไปได้ในการบูรณาการการใช้แผนที่เดียว หรือ One Map เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อน นายวราวุธ กล่าวว่า นายกฯ ได้พูดคุยกับทุกหน่วยงานแล้ว ซึ่งเห็นตรงกันว่าจะต้องใช้แผนที่ One Map หรืออัตราส่วน 1 : 4,000 กับทุกหน่วยงาน ต้องมีขั้นตอนทางกฎหมาย ซึ่งเป็นการจัดระเบียบให้ถูกต้อง จึงเชื่อว่าจะเป็นทางออกของปัญหาที่ดินและลดการกล่าวอ้างการถือแผนที่คนละฉบับ

ด้านนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ได้สั่งการให้สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 10 (ราชบุรี) และป่าไม้จังหวัดเข้าปักป้าย “พื้นที่ตรวจยึด” ที่บริเวณหน้าฟาร์มไก่เขาสน หลังจากกรมป่าไม้แจ้งความดำเนินคดีไว้กับทางตำรวจ กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(บก.ปทส.)แล้ว ส่วนการดำเนินกิจการต่อนั้นผู้ครอบครองยังสามารถทำต่อได้จนกว่ากระบวนการยุติธรรมจะสิ้นสุด 

ส่วนกรณี น.ส.ปารีณา แจ้งการครอบครองที่ดิน 1,706 ไร่ ต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ทางกรมป่าไม้ยังไม่สามารถตรวจสอบเพิ่มเติมได้ เนื่องจากไม่ทราบรูปแปลง อีกทั้งไม่มีอำนาจบังคับให้ผู้ครอบครองมานำชี้แนวเขต จึงไม่ทราบว่าพื้นที่ที่แจ้งต่อป.ป.ช.อยู่ตรงไหน สิ่งที่กรมป่าไม้ทำได้คือ การตรวจสอบจากพื้นที่จริง ดูจากการใช้ประโยชน์ในที่ดินและหลักฐานที่เชื่อมโยงว่าครอบครองถึงบริเวณใดบ้าง แต่หาก ป.ป.ช.ขอให้ช่วยตรวจสอบ กรมป่าไม้ยินดีร่วมมือ

ส่วนความคืบหน้าการดำเนินคดีหลังจากที่กรมป่าไม้เข้าแจ้งความไว้กับทาง บก.ปทส. พร้อมกับการแจ้งความดำเนินคดีจากโรงพักอื่นๆ ด้วย ล่าสุด พล.ต.ต.วิวัฒน์ ชัยสังฆะ ผบก.ปทส. กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งจากระดับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) เพื่อให้ตั้งคณะทำงานร่วมกัน หรือรวมสำนวนคดีกับ สภ.จอมบึง จ.ราชบุรี ที่มีประชาชนไปแจ้งความไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนกำลังตรวจสอบรายละเอียดว่า เรื่องที่กรมป่าไม้ร้องทุกข์เป็นเรื่องเดียวกับที่ สภ.จอมบึง หรือไม่ หากเป็นเรื่องเดียวกันจะถือว่าซ้ำซ้อน ทาง ปทส.อาจไม่รับเป็นคดี และจะโอนไปให้ท้องที่ดำเนินการ 

สำนวนคดีตอนนี้ยังขาดข้อมูลเรื่องแผนที่ ส.ป.ก. ว่าผืนดินดังกล่าวมีขอบเขตอย่างไร มีมาตรวัดอย่างไร ซึ่งต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยื่นหลักฐานและสอบปากคำเพิ่มเติม

ขณะที่เมื่อเวลา 15.00 น. นายทวี ไกรคุปต์ บิดาของน.ส.ปารีณา ได้เดินทางไปยัง บก.ปทส. พร้อมกล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวว่า ตนได้เห็นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งลงข่าวว่า กรมป่าไม้แจ้งจับตนในข้อหาบุกรุกป่า 46 ไร่ พร้อมกับลูกสาว วันนี้จึงเดินทางมามอบตัวเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาและแสดงตัวให้จับกุม พร้อมทั้งแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า ตนจะไม่หนีไปไหน

“ขอยืนยันผมรักชื่อเสียงของผมมากกว่าอาชีพของผม ตอนนี้รู้สึกกดดัน และจะเอาหลักฐานที่ถูกรังแกให้เสียชื่อเสียงมาเปิดเผย" นายทวี ระบุพร้อมกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม จะไม่ฟ้องสื่อมวลชนเพราะเข้าใจว่าเป็นการทำตามหน้าที่ แต่จะดำเนินฟ้องร้องกับ นายเสี้ยว นำพา เกษตรกร ในอ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ที่กล่าวหาตนฮุบที่ดิน ในข้อหาหมิ่นประมาทเพราะทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการสอบสวน นายทวี ได้พูดถึง นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าจะไม่หนีคดีเหมือนบุคคลทั้งสองคน ขณะเดียวกัน นายทวี พยายามโทรศัพท์ติดต่อหา น.ส.ปารีณา บุตรสาว แต่ไม่ยอมรับสายแต่อย่างใด

ด้าน พ.ต.ท.เอกศิษฎ์ โตอดิเทพย์ รอง.ผกก.(สอบสวน) กก.2 บก.ปทส. กล่าวว่า เบื้องต้นจากการตรวจสอบยังไม่พบว่ามีการออกหมายจับนายทวีแต่อย่างใด ซึ่งต้องรอตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม จะได้ทำการลงบันทึกวันไว้เป็นหลักฐานตามประสงค์ของนายทวีเอาไว้ก่อน

ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ นายทวี ได้เดินทางไปยังอาคารรัฐสภาเพื่อแถลงข่าวถึงปมดราม่าแย่งไมโครโฟนจากอธิบดีกรมป่าไม้ กลางงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ว่า ตนไม่ได้มีพฤติกรรมแย่งไมโครโฟนจากอธิบดี แต่เป็นเพียงการซักถามในประเด็นรายละเอียดของที่ดินที่แถลงเท่านั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจน ส่วนที่ไปร่วมแถลงดังกล่าว เพราะมีสื่อมวลชนร้องขอให้ไปชี้แจงข้อเท็จจริง​ ดังนั้นพฤติกรรมที่สื่อมวลชนเขียนถึงนั้น ขอยืนยันด้วยความเป็นอดีต ส.ส.​และอดีตรัฐมนตรีว่า ตนไม่ใช่กุ๊ย และไม่มีเจตนาเช่นนั้น

ส่วนกรณีที่มีการแจ้งความเอาผิดตนและ น.ส.ปารีณา ตนจะเดินทางไปยัง บก.ปทส. เพื่อรายงานตัว และพร้อมตอบในทุกคำถาม ซึ่งหากคดีนี้ตนผิดและต้องติดคุก ตนจะฆ่าตัวเอง เพราะตนรักศักดิ์ศรีมากกว่าชีวิตของตน และเรื่องนี้พร้อมต่อสู้คดี จะไม่หนีคดีเหมือนอย่างอดีตนายกฯ 2 คน

ผู้สื่อข่าวถามว่า การระบุว่าจะฆ่าตัวตายอาจถูกมองว่าเป็นการกดดันการทำงานของเจ้าหน้าที่หรือไม่ นายทวี กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ขอยกเลิกที่พูดไปว่าจะฆ่าตัวตาย แต่ยืนยันว่าตนรักศักดิ์ศรีของตน

เมื่อถามว่าการได้มาและการถือครองที่ดิน เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ นายทวีกล่าวว่า เรื่องที่อยู่ระหว่างตรวจสอบ ไม่ขอให้รายละเอียด เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำในประเด็นเดิม นายทวี กล่าวว่า ตนซื้อมาจากนายทหารคนหนึ่ง แต่นายทหารคนนั้นจะได้มาอย่างไร ไม่ทราบ ซึ่งเขาเล่าว่า เป็นมรดกตกทอดมาจากบิดา ซึ่งปู่ให้มา เพื่อใช้เป็นที่ทำการเกษตร

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า เอกสารที่จะใช้ต่อสู้คดีนั้น มีระบุชื่อผู้ถือครองชัดเจนหรือไม่ นายทวี กล่าวว่า “แน่นอน ซึ่งเรื่องนี้น.ส.ปารีณา ไม่รู้ ตนเป็นคนถือครองอยู่” เมื่อผู้สื่อข่าวถามอีกว่า เช่นนั้นแล้ว เหตุใด น.ส.ปารีณา จึงนำที่ดินดังกล่าวไปแจ้งต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นายทวี กล่าวว่า เดี๋ยวความจริงก็จะปรากฏ

ทั้งนี้ การให้สัมภาษณ์ของนายทวี ขัดแย้งกับคำสัมภาษณ์ครั้งก่อน เมื่อวันที่ 26 พ.ย. จากที่นายทวี ยืนยันว่า ที่ดินทั้งหมดที่ตัวเองครอบครองและส่งต่อให้ น.ส.ปารีณา มีเพียง 700 ไร่ ไม่ใช่ 1,700 ไร่ โดยซื้อจากชาวบ้าน ที่ไม่ได้ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งเป็นที่ดินแบบเสียภาษีบำรุงท้องที่ และช่วงที่ซื้อมาที่ดิน ไม่มีสภาพเป็นป่า แต่มีการเข้าทำประโยชน์จากการเพาะปลูกเกษตรกรรมแล้ว รวมถึงพื้นที่ 46 ไร่ ที่กรมป่าไม้ ระบุว่ารุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติด้วย เพราะตอนนั้นไม่มีการปักหมุดสัญลักษณ์ใด ๆ

ส่วนกรณีเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ลงพื้นที่ตรวจสอบฟาร์มปศุสัตว์ของ น.ส.ปารีณา ที่ อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อตรวจสอบความมีอยู่จริงในทรัพย์สิน นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. เปิดเผยว่า  เจ้าหน้าที่ได้รายงานเบื้องต้นด้วยวาจาแล้วถึงการไปตรวจสอบฟาร์มไก่ ฟาร์มวัว และที่ดินภ.บ.ท.5 ของ น.ส.ปารีณา รวมถึงการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด และคงไม่จำเป็นต้องส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่อีก เพราะหลักฐานครบถ้วนพอสมควรแล้ว 

ขณะนี้กำลังสรุปข้อเท็จจริงทั้งหมด เพื่อรายงานอย่างเป็นทางการต่อที่ประชุมป.ป.ช.ในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะรวมถึงเรื่องกรณีการปกปิดและแจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จต่อป.ป.ช.ด้วย คาดว่า การตรวจสอบจะแล้วเสร็จภายใน 180 วัน

เลขาธิการป.ป.ช. กล่าวอีกว่า ส่วนกรณี น.ส.ปารีณา จะขอแก้ไขรายการทรัพย์สินในส่วนที่ดินภ.บ.ท.5 ที่มีการแจ้งจำนวนที่ดินเกินจริงนั้น ป.ป.ช.จะต้องนำข้อมูลมาตรวจสอบว่า เป็นการคลาดเคลื่อนโดยจงใจ มีเจตนาปกปิดหรือไม่ ซึ่งเป็นรายละเอียดในสำนวน ยังตอบไม่ได้ จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตนจะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อ สำนักงาน ป.ป.ช. ให้ไต่สวน ส.ส. 10 คน จาก 5 พรรคการเมือง ประกอบด้วย ส.ส.จากพรรคอนาคตใหม่ 2 คน พรรคพลังประชารัฐ 2 คน พรรคประชาธิปัตย์ 3 คน พรรคภูมิใจไทย 2 คนและพรรคเพื่อไทย 1 คน ซึ่งส.ส. เหล่านี้ได้ยื่นแบบแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. เมื่อ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา ปรากฎว่า ได้ยึดถือครอบครองที่ดินประเภท ภ.บ.ท.5 และหรือ ส.ป.ก. เป็นจำนวนมาก โดยที่น่าจะขาดคุณสมบัติของการมีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด