หุ้น‘ปิโตร-อิเล็กฯ’กอดคอฟื้น ลุ้นเจรจาการค้าโลกจบสวย

หุ้น‘ปิโตร-อิเล็กฯ’กอดคอฟื้น  ลุ้นเจรจาการค้าโลกจบสวย

หุ้นกลุ่ม ‘ปิโตรเคมี’ และ ‘อิเล็กทรอนิกส์’ พุ่งกว่า 10% ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หลังการเจรจาสงครามการค้าคืบหน้า ขณะที่นักวิเคราะห์มองแนวโน้มปรับตัวเด่นกว่าตลาด พร้อมแนะซื้อหุ้นกลุ่ม SETHD ลุ้นผลตอบแทนประมาณ 10% ในช่วงต้นปีหน้า

ความคืบหน้าประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ล่าสุด มีแนวโน้มที่ทั้งสองประเทศจะสามารถบรรลุข้อตกลงในระยะแรก เพื่อยกเลิกการตั้งกำแพงภาษีครั้งใหม่ มูลค่า 1.6 แสนล้านเหรียญ ซึ่งคาดว่าจะสามารถตกลงกันได้ภายในวันที่ 15 ธ.ค. นี้

ขณะเดียวกันหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจโลกและถูกกระทบในช่วงที่ผ่านมา เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งจากข้อมูลในเดือน พ.ย. 2562 หุ้นอิเลคทรอนิกส์เป็นหมวดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้สูงสุดประมาณ 16% และถึงแม้ว่าภาวะตลาดหุ้นไทย วานนี้ (2 ธ.ค.) จะปรับตัวลงแรงประมาณ 20 จุด แต่กลุ่มอิเลคทรอนิกส์ยังคงยืนอยู่ในแดนบวกได้ ส่วนกลุ่มปิโตรเคมี เป็นหมวดที่ปรับขึ้นได้สูงสุดรองลงมาประมาณ 10.6% ในช่วงเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา

เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียดพบว่าหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้สูงสุดของกลุ่มปิโตรเคมีคือ อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) เพิ่มขึ้น 31% ขณะที่ เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE) เป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูงสุดของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้น 44%

"ณัฐชาต เมฆมาสิน" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า การปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและอิเล็กทรอนิกส์ได้แรงหนุนสำคัญจากการผ่อนคลายของสงครามการค้า ซึ่งที่ผ่านมาเป็นปัจจัยหลักที่กดดันราคาหุ้นทั้งสองกลุ่มนี้

ทั้งนี้ ในกรณีที่ดีที่สุด คือ การยกเลิกการเก็บภาษีในก้อนล่าสุด น่าจะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์โดยตรง เพราะการต้องการขึ้นภาษีก้อนล่าสุดนี้จะเน้นไปที่สินค้าในกลุ่มสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต แต่ในทางตรงกันข้ามหากการเจรจาไม่เป็นผลและสหรัฐเดินหน้าเก็บภาษีจริง น่าจะทำให้หุ้นทั้งสองกลุ่มนี้ถูกเทขายออกมา เพราะราคาหุ้นได้ปรับตัวขึ้นไปรอรับข่าวดีแล้ว

“โดยส่วนตัวเชื่อว่าความกังวลต่อเทรดวอร์จะยังคงอยู่ต่อไปในปีหน้า แม้จะเป็นปีของการเลือกตั้งสหรัฐ แต่ที่ผ่านมาจะเห็นว่าคะแนนความนิยมของโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ลดลงจากปัญหาเทรดวอร์ ทำให้หุ้นปิโตรเคมีและอิเล็กทรอนิกส์น่าจะยังไม่ได้ปรับขึ้นแรงมากนัก”

อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของการลงทุนในระยะหลัง จะเห็นว่ากลุ่มหุ้นที่ปรับตัวลงแรงหรืออ่อนแอกว่าตลาด มักจะเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นได้ดีในปีถัดไป หากสงครามการค้าไม่ได้เลวร้ายไปมากกว่านี้ หรือไม่ได้มีปัจจัยลบใหม่ๆ ออกมาอีก เชื่อว่าหุ้นสองกลุ่มนี้น่าจะปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าตลาดในปีหน้า เนื่องจากฐานที่ต่ำในปีนี้

ทั้งนี้ ประเมินระดับเหมาะสมของดัชนี SET ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 ที่ 1,600 จุด อิงจาก P/E 15.4 เท่า และกำไรต่อหุ้นของ Consensus 104 บาท ส่วนกรอบล่างแนะนำให้สะสมที่บริเวณ 1,500 จุด ขณะที่กรณีดีสุดน่าจะไม่เกิน 1,700 จุด โดยปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงดัชนีไว้คือ Earning Yield Gap ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย เนื่องจากผลตอบแทนจากตราสารหนี้ที่ค่อนข้างต่ำมาก

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจคือ กลุ่มหุ้นปันผลสูง โดยอิงจากดัชนี SETHD หลังจากที่ตั้งดัชนีขึ้นมาในช่วงปี 2554 ผลตอบแทนรวมจากการลงทุนในกลุ่มหุ้น SETHD ให้ผลตอบแทนเป็นบวกทุกปีตลอด 9 ปีที่ผ่านมา โดยผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ต่อปี จากการเข้าซื้อในช่วงปลายปี และขายออกในช่วงสิ้นเดือน เม.ย. ซึ่งหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ SCC, PTT และ ADVANC

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า จากคำกล่าวของรัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐ ทำให้เราเชื่อว่าข้อตกลงเรื่องสงครามการค้าในระยะแรกระหว่างสหรัฐและจีนจะเกิดขึ้นได้ ถือเป็นพัฒนาที่สำคัญ ดังนั้นแล้วเราจึงคาดว่าหุ้นกลุ่ม ปิโตรเคมี, โรงกลั่น และอิเล็กทรอนิกส์ ที่เคยถูกกดดันจากปัจจัยสงครามการค้าดังกล่าว รวมทั้งผู้จำหน่ายสินค้าหัวเว่ยในไทยที่จะดีขึ้น หลังบริษัทในสหรัฐจะได้รับใบอนุญาตให้กลับมาจำหน่ายกับหัวเว่ย คาดหุ้นกลุ่มนี้จะได้รับ Sentiment บวกในช่วงระยะ 1 เดือนนี้

โดยหุ้นที่น่าจะได้รับประโยชน์ กลุ่มปิโตรเคมีได้แก่ IVL, IRPC, PTTGC และ SCC กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ KCE, DELTA และ HANA กลุ่มโรงกลั่น ได้แก่ TOP และ SPRC รวมไปถึง SYNEX ที่ยอดขายหัวเว่ยกลับมาดีขึ้น