'มาสด้า 2' อีโค คาร์ ที่ไม่เหมือน อีโค คาร์
ปรับโฉม เพิ่มเทคโนโลยี เปิดตัวงาน มหกรรมยานยนต์ สู้ศึกรถเล็กปลายปี
มาสด้า 2 เป็นรถที่ขายที่ดีที่สุดมาสด้า จัดอยู่ในกลุ่มรถ “อีโค คาร์” แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่า มาสด้า ไม่ใช้คำนี้ในการสื่อสารการตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าเลย แต่คำที่ใช้ตลอดคือ “สปอร์ต” เพื่อบ่งบอกบุคลิกรถ และคำว่า “ซิตี้ คาร์” เพื่อบ่งบอกขนาดตัวถัง
ส่วน “อีโค คาร์” เป็นเรื่องของหลังบ้านที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในการสื่อสาร นั่นคือ การได้พิกัดภาษีสรรพสามิต อีโค คาร์ ที่ต่ำกว่ารถยนต์นั่งทั่วไป
ทั้งนี้ภาษีอีโค คาร์ คือ 17% ในเฟส 1 และ 14% ในเฟส 2 และหากสามารถใช้เพลิง อี 85 ได้ จะเหลือ 12% ขณะที่รถยนต์นั่งทั่วไปมีหลายอัตรา เริ่มต้นที่ 25%
และแม้ว่า มาสด้า 2 จะได้ภาษี อีโค คาร์ แต่ก็เลือกที่จะพัฒนารถตามแนวทางของตนเอง ทั้งเรื่องสมรรถนะการขับขี่ ควบคุมรถ และเทคโนโลยี
เรียกว่า เอาจุดขาย เป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาราคาเป็นตัวตั้ง
ราคามาสด้า 2 ตั้งแต่เริ่มเปิดตัว จึงเห็นได้ว่าอยู่ในระดับที่สูง ของกลุ่มรถอีโค คาร์ และยิ่งมีทางเลือกเครื่องยนต์ดีเซล รายเดียวในตลาดทำให้ราคาขยับสูงขึ้นไปอีก ทำให้มีมีเสียงจากผู้บริโภคเหมือนกันว่า ทำไม อีโค คาร์ ถึงมีราคาค่อนข้างสูง แต่มาสด้าก็ยังเดินหน้าตามแนวทางของตัวเอง และสร้างยอดขายที่ติดตลาด
เหมือนกับว่าแนวทางที่จะทำให้ผู้บริโภคคิดว่า “ซื้อรถ ซับ คอมแพคท์ ได้ในราคาที่ดี และโชคดีที่เข้าเกณฑ์อีโค คาร์ เพราะไม่อย่างนั้นจะแพงกว่านี้”
ล่าสุดมาสด้า ไมเนอร์เชนจ์ มาสด้า 2 และเปิดตัวในงาน มหกรรมยานยนต์ โดยยังคงมี 2 ทางเลือกเครื่องยนต์เช่นเดิมคือเบนซิน 1.3 ลิตร ทั้งแบบซีดาน 4 ประตู และแบบแฮตช์แบค 5 ประตู แบ่งเป็น
รุ่น 1.3 E ราคา 546,000 บาท
รุ่น 1.3 C ราคา 602,000 บาท
รุ่น 1.3 S ราคา 627,000 บาท
รุ่น 1.3 S LEATHER ราคา 648,000 บาท
รุ่น 1.3 SP ราคา 690,000 บาท
ส่วนเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ลิตร ทั้งแบบซีดาน 4 ประตู และแบบแฮตช์แบค 5 ประตู มี 2 รุ่นย่อย
รุ่น XD ราคา 782,000 บาท
รุ่น XDL ราคา 799,000 บาท
เป็นราคาที่ปรับขึ้นจากรุ่นเดิมโดยเฉลี่ย 7,000-20,000 บาท สำหรับการปรับเปลี่ยน และเพิ่มเติมอุปกรณ์ เทคโนโลยีหลายส่วน เช่น รูปทรงไฟหน้า กันชนหน้า ใหม่ และเพิ่มระบบปรับระดับสูงต่ำไฟหน้า
ปรับเปลี่ยนรูปแบบกันชนหลัง ไฟท้าย และล้ออัลลอยออกแบบใหม่ ขนาด 16 นิ้ว และมีสีใหม่เพิ่มเติมอีก 3 สี คือ สีขาว Ceremic Metallic สีเงิน Sonic Silver และสีเทา Polymetal Grey ซึ่งมีเฉพาะในรุ่นแฮตช์แบค
ภายในปรับเปลี่ยนวัสดุหุ้มเบาะใหม่ เครื่องเสียงเพิ่มการรองรับ แอ๊ปเปิ้ล คาร์เพลย์ และ แอนดรอยด์ ออโต้ เพิ่มกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา ตามสมัยนิยมในปัจจุบัน และความปลอดภัย รวมถึงเพิ่มเซ็ฯเซอร์กะระยะด้านหน้า
อีกสิ่งหนึ่งที่ปรับเปลี่ยนคือ จีวีซี (G-Vectoring Control) หรือระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง เพื่อลดแรงจี ทำให้ผู้ขับผู้นั่ง นั่งได้สบายขึ้น ลดการมึนหัว เมารถ
ซึ่งระบบนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยี ที่สร้างชื่อเสียงให้กับมาสด้า และนำมาใช้กับมาสด้า 2 เป็นรุ่นแรก ก่อนจะขยายไปยังรุ่นอื่น เช่น ซีเอ็กซ์-5 หรือว่า มาสด้า 3
แต่ว่าการไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้ จีวีซี ยกระดับขึ้นเป็น “จีวีซี พลัส” ซึ่งจะทำงานแม่นยำขึ้น ซึ่งจีวีซี พลัส ถูกติดตั้งอยู่ในมาสด้า 3 ใหม่ที่เพิ่งตัวไปเมื่อเร็วๆนี้
ส่วนเทคโนโลยีเด่นอื่นๆ ในมาสด้า 2 ก็เช่น ระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Sports Paddle Shift) เทคโนโลยีความปลอดภัย i-ACTIVSENSE
ส่วนเครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่น ยังเป็นตัวเดิมคือ สกายแอคทีฟคลีนดีเซล (SKYACTIV-D) 1.5 ลิตร เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร อัตราสิ้นเปลือง 26.3 กม./ลิตร
เครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน (SKYACTIV-G) 1.3 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 93 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 123 นิวตัน-เมตร อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 23.3 กม./ลิตร ซึ่งทั้ง 2 เครื่องยนต์ได้รับมาตรฐานไอเสียยูโรระดับ 5