หอการค้าไทยชง 'สมคิด' ปลุกเศรษฐกิจ

หอการค้าไทยชง 'สมคิด' ปลุกเศรษฐกิจ

หอการค้าไทย ชงสมุดปกขาว “สมคิด”วันนี้ สร้างความพร้อม “ดิจิทัล อีโคโนมี” แก้ปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำ เร่งเครื่องท่องเที่ยวชุมชน เตือนสมาชิกปรับตัวรับมือ “ดิจิทัลดิสรัป” มาแรงเร็ว

หอการค้าไทยจัดสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 37 ในหัวข้อ “THAITAY In ACTION: ไทยเท่ ทำได้ ทำจริง” ระหว่างวันที่ 29 พ.ย.ถึง 1 ธ.ค.2562 ที่ จ.ลำปาง เพื่อสร้างความร่วมมือในระหว่างภาครัฐและเอกชนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ปัจจุบันดิจิทัลดิสรัปชั่นเข้ามาแรงและรวดเร็วกว่าที่คิด ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง ต้องความความรวดเร็ว ประหยัด และเชื่อมโยงกับคนอื่น ซึ่งในปี 2562 เกิดปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ที่เห็นชัดคือภาคการส่งออกที่ลดลง เงินบาทแข็งค่า แต่ในขณะเดียวกันไทยก็ได้โอกาสจากสงครามการค้าทั้งการย้ายฐานการผลิตและการลงทุนทั้งจากจีนและสหรัฐ 

รวมถึง Sharing Economy หรือเศรษฐกิจบนพื้นฐานการแบ่งปันทั้งแกร็ป ไลน์แมน ทำให้สะดวกสบายและต้องทำให้เกิดการกระจายรายได้ อย่างไรก็ตามการที่ไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศ สูงเป็นอันดับ 2 ของโลกทำให้นักลงทุนมั่นใจเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น

นอกจากนี้ไทยยังเกิดเศรษฐกิจสีเขียว เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (บีซีจี) เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ทั้งด้านการแพทย์ สุขภาพความงาม การศึกษา การเงิน บันเทิง ด้านการขนส่งและการบิน การท่องเที่ยว 

ชงสมุดปกขาว “สมคิด” วันนี้

ส่วนการประชุมย่อยได้รับฟังความเห็นสมาชิกเพื่อสรุปความเห็น “THAITAY in ACTION” ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่จะทำเป็นสมุดปกขาวเสนอนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี วันนี้ (1 ธ.ค.)

นายธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ข้อเสนอแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ครอบคลุมธุรกิจของประเทศมีสัดส่วน 50% ของจีดีพี หรือมีมูลค่า 8 ล้านล้านบาท หากรัฐบาลนำไปปฏิบัติจะทำให้จีดีพีเพิ่มขึ้น 4% ก็จะมีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท สร้างรายได้ให้กับแรงงานเพิ่ม 8 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าเม็ดเงินที่รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจและยกระดับเศรษฐกิจระยะยาว

“ข้อเสนอของภาคเอกชนจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่ม เช่น การยกเลิกแจ้งที่พักอาศัยชั่วครามของคนต่างด้าว (ตม.30) จะทำให้ชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งหากรัฐบาลทำได้ตามจะสร้างรายได้เพิ่มตั้งแต่หลักหมื่นล้านบาทจนถึงแสนล้านบาท”

สร้างความพร้อมเศรษฐกิจดิจิทัล

นายสุรงค์ บูลกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า กลุ่มการค้าและการลงทุน ได้หารือเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยชะลอตัวส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และ Brexit รวมถึงเงินบาทแข็งค่า การถูกตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) การลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนที่โตในกรอบจำกัด รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐที่ช่วยประคองภาพรวมการใช้จ่ายครัวเรือน ตลอดจนความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2563 จึงยังเผชิญความไม่แน่นอน

ทั้งนี้  ปี 2563 ต้องขับเคลื่อนงานด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อยกระดับบุคคลการด้านการค้าและการลงทุน รวมทั้งเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการที่จะไปทำธุรกิจใน CLMV รวมถึงทักษะดิจิทัล อีโคโนมี จะต้องมีการพัฒนา TCC Digital Platform เชื่อมโยงระบบดิจิทัลของเครือข่ายหอการค้าข้อมูล Big Data ให้สามารถทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มกลางร่วมกัน 

รวมทั้งผลักดันการ National Digital Trade Platform ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและบริการ ส่วนด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy โดยจะผลักดันให้สมาชิกดำเนินการ 3 เรื่อง คือ ลดพฤติกรรมการใช้ให้ลดลง, ส่งเสริม Share Economy และรีไซเคิล

เร่งแก้ผลผลิตเกษตรตกต่ำ

นายชูศักดิ์ ชื่นประโยชน์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า กลุ่มเกษตรและอาหาร ได้หารือการเป็น Core Value Chain ที่หอการค้าไทยให้ความสำคัญเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและลดความเหลื่อมล้ำมาตลอด โดยปัจจุบันมีเกษตรกร 7.9 ล้านครัวเรือน มีพื้นที่ 149 ล้านไร่ แรงงาน 11.88 ล้านคน มีสัดส่วนจีดีพี 8.12% โดยปีนี้จะส่งออกอาหาร 1.1 ล้านล้านบาท

อีกทั้ง ภาคเกษตรและอาหาร ยังประสบปัญหาประสิทธิภาพการผลิตและผลผลิตตกต่ำ ปัญหาความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจเกษตร ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและแรงงานภาคเกษตรสูงอายุเพิ่มมากขึ้น โดยจะต่อยอดแนวทางที่ทำไว้ 4 เรื่อง คือ 1.โครงการ 1 ไร่ ได้เงิน 1 ล้าน 2.โครงการ 1 หอการค้า ดูแลอย่างน้อย 1 สหกรณ์ 3.ปลูกพืชที่มีระดับราคาสูงและตรงความต้องการตลาด 4.สร้างเครือข่ายเพื่อกระจายสินค้า

ชงรัฐหนุนท่องเที่ยวชุมชน

นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า กลุ่มภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ได้หารือถึงปัจจุบันรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศมาก สร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 3.1 ล้านล้านบาท ในปี 2561 อีกทั้งปัจจุบันนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเรื่องการท่องเที่ยวที่สัมผัสวิถีชีวิตชุมชน จึงทำให้เกิดการท่องเที่ยวชุมชนมีบทบาทมากขึ้น

“ท่องเที่ยวชุมชนและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นรากฐานสำคัญ ที่จะช่วยสร้างรายได้ กระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้า และเข้าถึงท้องถิ่นได้อย่างทั่วถึง หอการค้าไทย ก็ได้อาศัยเครือข่ายอันเข้มแข็งของหอการค้าจังหวัดที่มีอยู่ทั่วประเทศ เพื่อช่วยส่งเสริม พัฒนา และต่อยอดชุมชนที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยจัดหาต้นแบบท่องเที่ยวชุมชน ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่"