‘ฮ่องกง บิลล์’ ป่วนตลาด นักวิเคราะห์ชี้โอกาสสะสมหุ้น

‘ฮ่องกง บิลล์’ ป่วนตลาด นักวิเคราะห์ชี้โอกาสสะสมหุ้น

ยังคงผันผวนไม่หยุดสำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทย หลังจากวิ่งขึ้นไปแตะ 1,620 จุด เมื่อสามวันก่อน ล่าสุด ดัชนี SET ลงมาทดสอบระดับ 1,600 จุด อีกครั้ง

คราวนี้เป็นประเด็น "สงครามการค้า" เริ่มกลับมาเพิ่มความกังวลให้กับนักลงทุนอีกระลอก หลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ตัดสินใจลงนามในกฎหมายปกป้องสิทธิมนุษยชนในฮ่องกง (Protect Hongkong ACT) หรือ Hong Kong Bill

บล.เอเซียพลัส ระบุว่า นักลงทุนกลับมากังวลอีกครั้งว่าการลงนามในครั้งนี้จะกระทบต่อการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งเริ่มส่งสัญญาณเป็นบวกในช่วงก่อนหน้า จึงยังคงมุมมองเดิมคือ สงครามการค้ายังมีโอกาสยืดเยื้อต่อไปจนกว่าจะถึงช่วงปลายปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

โดยรวมเชื่อว่าประเด็นดังกล่าวจะเป็นแรงกดดันช่วงสั้นต่อตลาดหุ้นในเอเซียเห็นได้จากดัชนี Nikkei ของญี่ปุ่น เช้าวานนี้(28พ.ย.) ลดลง 0.23%, ดัชนี KOSPI ของเกาหลี เช้านี้ลดลง 0.15% ขณะที่สินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ อาทิ ราคาน้ำมันดิบวานนี้ปรับลดลง โดยราคาน้ำมันดิบ Brent ลดลง 0.33%, WTI ลดลง 0.51% และDubai ลดลง 0.13%

อย่างไรก็ดี มุมมองของนักวิเคราะห์ส่วนมากค่อนข้างไปในทิศทางเดียวกัน คือ ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการลงนามในครั้งนี้จะค่อนข้างจำกัด และไม่น่าจะกระทบต่อการเดินหน้าเจรจาสงครามการค้าในระยะแรกนี้

วิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า บรรยากาศของตลาดหุ้นโดยรวมอาจจะเสียไปเล็กน้อยจากการลงนามของโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ส่วนตัวมองว่าผลกระทบจะไม่ได้มากนัก เพราะในครั้งนี้ท่าทีของโดนัลด์ ทรัมป์ ค่อนข้างจะไม่จริงจังเหมือนที่ผ่านๆ มา และตลาดหุ้นโดยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ตอบรับในเชิงลบมากนัก โดยลดลงเพียงประมาณ 0.2%

ทั้งนี้ การอ่อนตัวลงมาของตลาดหุ้นไทย น่าจะเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากจากความผันผวนในอนาคต อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสงครามการค้าน่าจะผ่านจุดที่หนักที่สุดไปแล้ว ถัดจากนี้เป็นเรื่องของจิตวิทยาของทั้งสองฝ่าย เพื่อหาประโยชย์สูงสุดให้กับประเทศ

“ในระดับนี้นักลงทุนน่าจะทยอยตั้งรับในจังหวะที่หุ้นปรับฐานได้ เพราะเศรษฐกิจเองก็น่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้วเช่นกัน เพียงแต่ว่าการจะเห็นตัวเลขต่างๆ กลับมาดีอีกครั้งอาจจะต้องไปถึงสองไตรมาส แต่ในมุมของการลงทุนแล้ว หากนักลงทุนส่วนมากเริ่มเชื่อว่าผ่านจุดต่ำสุดไปได้แล้วจริง ราคาก็มักจะวิ่งขึ้นไปก่อนที่ตัวเลขต่างๆ จะออกมาดี”

สำหรับการเข้าลงทุน ควรจะพิจารณาปัจจัยพื้นฐานประกอบด้วย นอกเหนือจากเลือกหุ้นที่ลดลงมามากอย่างเดียว แม้หุ้นที่ราคาถูกและถูกกระทบจากสงครามการค้าน่าจะเด้งขึ้นได้ก่อนในระยะสั้น หากสงครามการค้าดีขึ้น แต่หุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีน่าจะปรับตัวขึ้นได้ไกลกว่า โดยรวมแนะนำหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล อย่าง BDMS BCH กลุ่มค้าปลีกที่ไม่ต้องเช่าพื้นที่มากนัก เช่น GLOBAL HMPRO รวมทั้ง กลุ่มท่องเที่ยว อาทิ ERW

ด้าน ภาสกร ลิมมณีโชติ รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย มองว่า ผลกระทบจากการลงนาม Hong Kong Bill ในครั้งนี้ ไม่น่าจะกระทบมากนัก ซึ่งทั้งฝั่งสหรัฐและจีน ต่างออกมาบอกว่าเป็นประเด็นที่ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการเจรจาสงครามการค้า เพราะฉะนั้น จึงน่าจะได้เห็นการเจรจาสงครามการค้าระยะแรกลุล่วงไปได้ตามคาดการณ์

อย่างไรก็ตาม ดัชนีในระดับนี้เป็นจุดที่ได้สะท้อนปัจจัยบวกนี้ไปแล้ว หากจะได้เห็นดัชนีปรับตัวขึ้นไปถึงระดับประมาณ 1,670 จุด อาจจะต้องหวังให้การเจรจาการค้าในระยะแยกมีการยกเลิกกำแพงภาษีที่ผ่านมาด้วย สำหรับกำแพงภาษีที่สหรัฐตั้งขึ้นมาก่อนหน้านี้ แบ่งเป็น 4 ส่วน ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวม 3.6 แสนล้านเหรียญ

“หากการเจรจาในระยะแรกมีผลย้อนหลังไปถึงกำแพงภาษีที่ผ่านมาด้วย จะเป็นปัจจัยหนุนให้การลงทุนทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยได้อานิสงส์ไปด้วย ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินกรอบดัชนีช่วงปลายปีที่ประมาณ 1,580 – 1,670 จุด ส่วนปีหน้าประเมินเป้าหมายดัชนีที่ 1,725 จุด”

สำหรับปัจจัยสำคัญในปี 2563 ฝ่ายวิจัย บล.กสิกร มองว่า ดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีโอกาสจะถูกปรับลดลงได้อีก 0.25% ไปแตะระดับ 1% แต่ก็น่าจะเห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐที่เข้มข้นขึ้น ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์อาจจะยังถูกกดดันจากมาตรการ LTV