บุกยื่นอัยการเหตุไม่ฟ้อง 'อนันต์' ฟอกเงินเข้าวัดธรรมกาย

บุกยื่นอัยการเหตุไม่ฟ้อง 'อนันต์' ฟอกเงินเข้าวัดธรรมกาย

"แก้วสรร อติโพธิ" บุกสำนักงานอัยการสูงสุด หลังอัยการสั่งไม่ฟ้อง "อนันต์ อัศวโภคิน " เอี่ยวฟอกเงินเข้าวัดธรรมกาย ร้องกรรมการอัยการขอความบริสุทธิ์ ยุติธรรม


วันนี้(28พย.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด กลุ่มผู้เสียหายในคดีการทุจริตยักยอกฉ้อโกงและฟอกเงินในสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นจำกัด นำโดยนายแก้วสรร อติโพธิ ในฐานะทีมกฎหมายและญาติผู้เสียหาย เดินทางมาเพื่อยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการอัยการ เพื่อเรียกร้องความบริสุทธิ์ยุติธรรม หลังจากทีมอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องนายอนันต์ อัศวโภคิน ที่ผู้เสียหายอ้างว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ดินเพื่อนำเงินเข้ามูลนิธิวัดธรรมกาย จำนวนเงิน 321 ล้านบาท
โดยเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่มาจากบัญชีนายอนันต์ที่อ้างว่าขายที่ดินได้ 1 แปลง จึงแบ่งมาถวายทำบุญ แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอสอบสวนพบว่าที่ดินแปลงนี้แท้จริงเป็นของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ลูกศิษย์วัดธรรมกาย ใช้เงินที่ยักยอกจากสหกรณ์จำนวน 321 ล้านบาท มาซื้อบริษัทเอ็มโฮม เพื่อจะนำที่ดินของบริษัท 3 แปลงไปขายค้ากำไร แต่เพื่อซ่อนเร้นจึงต้องฟอกชื่อ เอ็มโฮม ไม่ให้ปรากฏ จึงทำสัญญาปลอมให้เอ็มโฮมขายที่ดินให้นายอนันต์โดยไม่มีการชำระเงินค่าที่ดิน จากนั้นจึงใช้ชื่อนายอนันต์ขายที่ดินอีกครั้งในจำนวนเงิน 421 ล้านบาท แล้วใช้ชื่อนายอนันต์แบ่งถวายให้วัดธรรมกาย 301 ล้านบาท
พฤติกรรมข้างต้นดีเอสไอสรุปสำนวนว่าเป็นการฟอกเงิน 3 ครั้ง จนกลายเป็นถวายวัดทำบุญ แต่มาบัดนี้พอทำสำนวนสมบูรณ์ส่งอัยการแล้ว อัยการสั่งไม่ฟ้องโดยให้เหตุผลว่าหลักฐานการกระทำของนายอนันต์ไม่เพียงพอให้ฟังได้ว่าร่วมฟอกเงินกับนายศุภชัย แต่ดีเอสไอเห็นว่าการยินยอมให้ใช้ชื่อเพื่อฟอกเงินนั้นก็พอแล้วไม่จำเป็นต้องพิสูจน์รายละเอียดการกระทำทั้งหมดแต่อย่างใด

บุกยื่นอัยการเหตุไม่ฟ้อง 'อนันต์' ฟอกเงินเข้าวัดธรรมกาย

ผู้เสียหายเห็นว่าดีเอสไอน่าจะถูกต้อง เพราะแม้ในความเป็นจริงอาจจะตกลงกันในชื่อของนายอนันต์ทำเพียงเซ็นใบมอบฉันทะซื้อที่ดินและใบฝากถอนเงินธนาคารมอบให้นายศุภชัยไปทำทุกอย่างเอาเองก็ตาม กรณีนี้ก็ถือเป็นการสมคบแบ่งงานกันทำได้แล้ว หรือถ้าเป็นเพียงการสนับสนุนก็รับผิดเช่นตัวกลางอยู่ดี
ผู้เสียหายมีความเห็นว่าเมื่อนายศุภชัยใช้เงินยักยอกซื้อกิจการบริษัททั้งหมดแล้วที่ดินทั้งหมด 3 แปลงของบริษัทต้องเป็นของโจนตลอดไป ฟอกแปลงใด เมื่อใดก็ผิดฟอกเงินเมื่อนั้น อัยการจะนำการชดใช้ทางแพ่งของพวกโจรมาทำให้ที่ดินแปลงใดหมดความเป็นของตนไม่ได้ คดีฟอกเงินเป็นอาญาแผ่นดินยอมความกันไม่ได้เพราะถือว่าเป็นการปราบปรามองค์การอาชญากรรมที่เป็นภัยต่อสังคม แม้ผู้เสียหายจะได้เงินจนยอมความทางแพ่งแล้วก็ตาม แต่กฎหมายก็จะไม่สนใจอย่างให้ลงโทษและริบเงินเป็นของแผ่นดินอยู่ดี


เหตุผลของอัยการที่สั่งไม่ฟ้องจึงขัดต่อพื้นฐานของกฎหมายโดยสิ้นเชิง แม้อัยการไทยจะเคยใช้เหตุผลทำนองนี้ถอนฟ้องธัมมชโยในคดียักยอกเงินวัดมาก่อนก็ตามแต่ก็ไม่สมควรจะเคยตัวนำมาใช้ในคดีฟอกเงินเข้าวัดธรรมกายได้อีก จึงขอเรียกร้องความโปร่งใส บริสุทธิ ยุติธรรมที่ผู้เสียหายและสังคมพึ่งจะได้รับจากสถาบันอัยการ


สำหรับความคืบหน้าทางคดีนี้อยู่ระหว่างการรอความเห็นของดีเอสไอว่าจะยืนยันคำสั่งฟ้องหรือไม่ ถ้าไม่ยืนยันกรณีต้องยุติชี้ขาดเป็นที่สุดโดยคำวินิจฉัยของอัยการสูงสุด