ถึงเวลาจีน 'ทบทวนตัวเอง' หลังแพ้เลือกตั้งฮ่องกง

ถึงเวลาจีน 'ทบทวนตัวเอง' หลังแพ้เลือกตั้งฮ่องกง

บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านฮ่องกงเตือน ถึงเวลาที่รัฐบาลจีนต้องเริ่มทบทวนว่า ผลการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นเมื่อวันอาทิตย์ (24 พ.ย.) ที่ฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยกวาดเสียงข้างมากไปอย่างท่วมท้น จะมีผลต่อการเลือกผู้บริหารฮ่องกงคนใหม่ใน 3 ปีข้างหน้าอย่างไร

ฉิน เฉียนหง ศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอู่ฮั่นของจีน เผยกับเว็บไซต์เซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ว่า แม้รัฐบาลจีนเตรียมตัวทางจิตวิทยาไว้แล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าฝ่ายสนับสนุนทางการจะแพ้เลือกตั้งสภาท้องถิ่นขาดลอยขนาดนี้

“เรารู้อยู่แล้วว่าจะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก เพราะผู้สมัครฝ่ายสนับสนุนทางการบางคนบอกว่าถูกด่าทอระหว่างเดินสายหาเสียง แต่กลับกลายเป็นว่าตัวเลขที่นั่งออกมาต่ำกว่าที่เราคาดการณ์ไว้”

ฝ่ายสนับสนุนทางการฮ่องกงหรือปักกิ่งชนะเพียง 60 ที่นั่งจากที่มีการเลือกตั้ง 452 ที่นั่งในสภาท้องถิ่นที่มีทั้งหมด 479 ที่นั่ง ส่วนฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยกวาดไป 347 ที่นั่ง และผู้สมัครอิสระได้ 45 ที่นั่ง

ผลดังกล่าวทำให้มีแนวโน้มว่าฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยจะได้โควตาสมาชิกสภาท้องถิ่นทั้งหมด 117 ที่นั่งในคณะกรรมการเลือกตั้งผู้บริหารฮ่องกง 1,200 คนที่สามารถเลือกหัวหน้าคณะผู้บริหารได้ ซึ่งการเลือกผู้นำครั้งต่อไปจะมีขึ้นในปี 2565

อย่างไรก็ตาม เทียน เฟยหลง ผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเป่ยหังในกรุงปักกิ่ง กล่าวว่า ปักกิ่งอาจใช้สิทธิปฏิเสธการแต่งตั้งหัวหน้าคณะผู้บริหารที่รัฐบาลกลางไม่ยอมรับเป็นทางเลือกสุดท้าย

"ผลการเลือกตั้งท้องถิ่นจะเพิ่มอำนาจทางตรงหรือทางอ้อมให้กับขั้วตรงข้ามฝ่ายสนับสนุนทางการ แต่หากผู้ที่ถูกเสนอชื่อเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหารไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับปักกิ่ง รัฐบาลปักกิ่งก็จะไม่ยอมแต่งตั้งหัวหน้าผู้บริหารคนใหม่"

ด้านฉินระบุว่า แม้กฎหมายพื้นฐานของฮ่องกงให้อำนาจจีนไม่ยอมรับผู้สมัครที่จีนไม่ต้องการ แต่การทำเช่นนั้นก็มีความเสี่ยง

“ผลลัพธ์คืออาจทำให้เกิดการชุมนุมบนท้องถนนครั้งใหญ่ขึ้นอีก”

หลี่ เสี่ยวปิง นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเมืองฮ่องกง มหาวิทยาลัยหนานไค เตือนว่า หากฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยจับมือกับกลุ่มอื่น ๆ ในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติและการเลือกผู้บริหารในอนาคต จะเป็นเรื่องน่ากังวลเพราะจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีอำนาจมากขึ้น

ขณะที่ ซ่ง สู่ชง อาจารย์ศูนย์กฎหมายพื้นฐานฮ่องกงและมาเก๊า มหาวิทยาลัยเสิ่นเจิ้นตั้ง ระบุว่า ชนชั้นกลางที่ปกติไม่ออกมาเลือกตั้งกลับออกมาลงคะแนนให้ฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตย การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นเรื่องการเมืองล้วน ๆ และไม่มีการพูดถึงปัญหาชุมชนแต่อย่างใด สิ่งที่ฝ่ายสนับสนุนทางการเคยทำในระดับชุมชนมาทั้งหมดจึงกลายเป็นเปล่าประโยชน์

“ถึงเวลาที่รัฐบาลจีนจะต้องทบทวนยุทธศาสตร์และให้ฝ่ายสนับสนุนทางการมีความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น ไม่ใช่ตอบสนองแต่ท่าทีของรัฐบาลฮ่องกงเท่านั้น”