‘ทุนธนชาต'กางแผนธุรกิจ ศึกษาโอกาส'ลงทุน'เพิ่ม

‘ทุนธนชาต'กางแผนธุรกิจ ศึกษาโอกาส'ลงทุน'เพิ่ม

“ทุนธนชาต” เดินหน้าศึกษาลงทุนเพิ่ม รับกระแสเงินสดที่เข้ามาต่อปีสูง  จากเงินปันผลธนาคารใหม่และบริษัทลูก การขายเอ็นพีเอ พร้อมมีแผนตัดขายธุรกิจนอนคอร์ที่เป็นหุ้นบริษัทนอกตลาด ย้ำลงทุนด้วยความรอบคอบ มุ่งธุรกิจที่เชี่ยวชาญเป็นหลัก

นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) (TCAP) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการควบรวมกิจการธนาคารธนชาต จำกัด(มหาชน)(TBANK)กับธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน)(TMB) ว่า การควบรวมกิจการ ยังเป็นไปตามเป้าหมาย ภายในเดือนธ.ค.2562 นี้ การทำรายการซื้อขายหุ้นน่าจะแล้วเสร็จ ทั้งรายการที่ทุนธนชาตและสโกเทียขายหุ้นแบงก์ธนชาตให้ทีเอ็มบี และการเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนทีเอ็มบี ทำให้ทุนธนชาตที่เคยถือหุ้นในธนชาต 51%จะเปลี่ยนมาถือหุ้นทีเอ็มบีในสัดส่วน20%เศษ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 รองจากไอเอ็นจีที่จะถือในสัดส่วน 21-22% ส่วนกระทรวงการคลังถือในสัดส่วน 18-19%

 “ผู้ถือหุ้นใหญ่ของทีเอ็มบีทั้ง3รายจะช่วยกันบริหารจัดการ โดยมีกระทรวงการคลังเป็นประธานคณะกรรมการ ส่วนฝ่ายบริหารจะเห็นการผสมผสานผู้บริหารทั้ง 2ฝ่าย อิงความเชี่ยวชาญแต่ละทีม เอาคนเก่งๆมาเสริมกัน หลังจากโอนหุ้นแล้ว จะดำเนินการควบรวมกิจการให้แล้วเสร็จภายในปี 2564 ระหว่างนั้นทั้ง2แบงก์ทำธุรกิจปกติ แต่หลังจากปีครึ่งค่อยมารวมกัน เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนป้าย โดยชื่อแบงก์นั้นจะรักษาคุณค่าของแบรนด์ทั้ง 2ไว้ ”

ทั้งนี้ หลังการควบรวม รายได้ของบริษัทหลักๆ ยังมาจากธนาคาร แต่มีสัดส่วนน้อยลง  จากรายได้  90% มาจากแบงก์ธนชาตและบริษัทลูก ปรับลดลงเหลือ  50-60%   ส่วนที่เหลือมาจากบริษัทราชธานีลิสซิ่ง ธุรกิจประกัน บริษัทหลักทรัพย์ การขายเอ็นพีเอ และอื่นๆ  อย่างไรก็ตามแม้ว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจธนาคารจะลดลง แต่สัดส่วนดังกล่าวมาจากรายได้ที่ก้อนใหญ่ขึ้น เพราะในเชิงยุทธ์ศาสตร์การรวมแบงก์ถ้าทำได้ดีจริง การเจริญเติบโตของแบงก์ใหม่จะดีกว่าการเติบโตแบบเดิม 

ขณะที่อีก 3  ธุรกิจหลักคือลิสซิ่ง ประกันภัยและบริษัทหลักทรัพย์ มีทิศทางการเติบโตต่อเนื่อง  โดยด้านราชธานีฯยังเป็นผู้นำตลาดด้านลิสซิ่ง ฝ่ายจัดการเข้าใจตลาดลึกซึ้ง ทำให้ครบเครื่องในด้านธุรกิจเช่าซื้อ  ส่วนธุรกิจประกันภัยมีแผนเพิ่มช่องทางการขายให้หลากหลายมากขึ้น ขณะที่ธุรกิจหลักทรัพย์ พยายามลดการพึ่งพาโบรกเกอร์หุ้น จะมี DW และสินค้าอื่นๆ

157525823466

" การควบรวมกิจการ ทำให้เราสามารถโฟกัสในธุรกิจต่างๆ ได้ชัดเจน ทำให้ผลประกอบการดีขึ้น รายได้ของบริษัทยังเติบโตต่อเนื่อง  แต่จะมีการกระจายตัวมากขึ้น  ซึ่งการไม่อิงกับธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากเกินไป  เป็นผลดีกับบริษัทในระยะยาว"

เขากล่าวต่อว่า  นอกจากธุรกิจข้างต้นแล้ว บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนเพิ่ม เพราะหลังจากนี้บริษัทจะมีกระแสเงินสด (Cash Flow) เข้ามาเยอะ  ทั้งจากเงินปันผลจากธนาคารแห่งใหม่ และเงินปันผลจากบริษัทลูกของทุนธนชาต   รวมๆแล้วเงินปันผลต่อปีประมาณ 4-5พันล้านบาท ยังไม่รวมการขายเอ็นพีเอและหนี้เก่าๆที่จะได้เป็นก้อนเมื่อขายได้  นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก(นอนคอร์) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหุ้นนอกตลาดประมาณ 6-7บริษัท ซึ่งได้แยกออกมาไว้ที่ SPV 2 แล้ว แต่ยังไม่สามาถบอกได้ว่าจะขายออกในช่วงไหน   เพื่อรักษาประโยชน์สูงสุดองค์กรก็ต้องดูจังหวะ ราคา เราไม่มีแรงกดดันที่จะต้องรีบขาย  แต่ถ้ามีโอกาสราคาดีก็ขายออก"

"มีผู้ถือหุ้นถามว่า อีกหน่อยแคชโฟลว์เราเยอะ จะเอาไปทำอะไร เราก็ศึกษาเรื่องการลงทุนอยู่ เพราะ หลังจากนี้เราจะไม่เป็นกลุ่มการเงินตามกฎหมายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ทำให้เรามีความยืดหยุ่นในการทำธุรกิจมากขึ้น  แต่เราต้องศึกษาวิเคราะห์ให้ดีว่าเราเชี่ยวชาญด้า่นไหน อะไรที่เหมาะกับองค์กรแบบเรา  ก็ต้องทำด้วยความระมัดระวัง และรอบคอบ"