อย่าด่วนสรุป 'ปัญหาสุขภาพจิต' เป็นเหตุแห่งอาชญากรรม

อย่าด่วนสรุป 'ปัญหาสุขภาพจิต' เป็นเหตุแห่งอาชญากรรม

กรมสุขภาพจิต แนะระมัดระวังการด่วนสรุปว่าปัญหาสุขภาพจิตเป็นเหตุแห่งอาชญากรรม ไม่ตื่นตระหนก เน้นการดูแลตนเองและคนใกล้ชิดที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตและหมั่นสังเกตพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง

วันนี้ (26 พฤศจิกายน 2562) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จากเหตุโศกนาฏกรรมบริเวณย่านบางขุนเทียน กทม. ซึ่งปรากฏเป็นข่าวตามช่องทางสื่อต่างๆตั้งแต่ช่วงเมื่อวานนี้ โดยมีเนื้อหากล่าวอ้างถึงผู้ต้องสงสัยในคดีว่ามีอาการป่วยด้านสุขภาพจิตร่วมด้วยนั้น กรมสุขภาพจิตได้ติดตามพบว่าประชาชนให้ความสนใจและแสดงความวิตกกังวลต่อคดีสะเทือนขวัญนี้เป็นอย่างมาก และอาจมีข้อสงสัยเกี่ยวกับปัญหาด้านสุขภาพจิตอื่นๆที่เกี่ยวข้อง แต่ทั้งนี้เนื่องจากคดีมีความซับซ้อนและยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงมีความจำเป็นอย่างมากในการต้องใช้ข้อมูลอื่นๆประกอบต่อไป

อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า ตามสถิติจากงานวิจัยในต่างประเทศที่มีการศึกษาคดีทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ชีวิตต่างๆ พบว่า มีเพียงร้อยละ 10-15 ของคดีเท่านั้นที่เกิดจากผู้ป่วยทีมีปัญหาด้านสุขภาพจิตระดับรุนแรง ได้แก่ โรคทางจิตที่มีอาการหูแว่ว ภาพหลอน หวาดระแวง อย่างรุนแรง โรคทางจิตเวชที่ซับซ้อนหลายโรคร่วมกัน รวมไปถึงภาวะการใช้สารเสพติดร่วมด้วย ซึ่งโดยส่วนมากแล้วผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพจิตทั่วไประดับที่ไม่รุนแรง เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล แม้มีความเสี่ยงในการทำร้ายตัวเองที่สูงกว่าคนทั่วไปก็ตาม แต่ความเสี่ยงในการทำร้ายผู้อื่นมักไม่ต่างจากสถิติในประชากรโดยรวม การด่วนสรุปว่าคดีสะเทือนขวัญต่างๆเกิดจากปัญหาสุขภาพจิตทั่วๆไปเพียงอย่างเดียวนั้น อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและอาจสร้างตราบาปต่อผู้ที่กำลังบำบัดรักษาด้านสุขภาพจิตอยู่ในสังคม

การที่สังคมให้ความสนใจต่อเรื่องปัญหาด้านสุขภาพจิตนับเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่ควรตื่นตระหนกหรือวิตกกังวลมากจนเกินไป เนื่องจากเหตุโศกนาฏกรรมที่เชื่อมโยงกับผู้ป่วยจิตเวชเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่กำลังรับการบำบัดรักษาด้านสุขภาพจิตอยู่นั้น ควรดูแลตัวเองให้มีสุขภาพกายและใจที่เข้มแข็งอยู่เสมอ รับประทานยาต่อเนื่อง ไม่ขาดยา ติดตามการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง หากพบว่ามีอาการเปลี่ยนแปลงไป รุนแรงมากขึ้น หรือมีความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายผู้อื่น สามารถเข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลต่างๆได้ทันที

สำหรับคนรอบข้างสามารถสังเกตอาการที่เป็นสัญญานเตือนของการก่อความรุนแรงในผู้ป่วยจิตเวชได้ดังนี้ 1. มีอาการสับสน ไม่สามารถแยกแยะความเป็นจริงได้ 2. มีอาการหวาดระแวง ตอบสนองต่อเสียงแว่วและภาพหลอน 3. มีท่าทีกระสับกระส่ายหรือหุนหันพลันแล่น 4. มีอารมณ์โกรธฉุนเฉียวอย่างรุนแรงทางสีหน้าและท่าทาง 5. เริ่มพูดจาก้าวร้าวข่มขู่ หรือเริ่มแสดงพฤติกรรมรุนแรงต่อตนเอง ผู้อื่น และสิ่งของรอบตัว โดยทั้งนี้ ญาติ คนใกล้ชิด และคนในชุมชนของผู้ป่วยจิตเวช มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการช่วยเหลือได้ดังนี้ 1. ช่วยกันสอดส่องดูแล ติดตามให้ผู้ป่วยกินยาอย่างต่อเนื่อง 2. ใส่ใจรับฟัง พูดคุยสม่ำเสมอเพื่อให้กำลังใจ ติดตามอาการ และสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ 3. หากผิดปกติหรือมีอาการกำเริบให้รีบแจ้งต่อเจ้าหน้าที่หรือโทรขอคำปรึกษาที่สายด่วนสุขภาพจิต 1323 หากมีแนวโน้มความรุนแรงมาก สามารถติดต่อสายด่วนการแพทย์ฉุกเฉิน 1669 หรือโทรแจ้งเหตุสายด่วนตำรวจ 191 อธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าว