การล่มสลายของธุรกิจครอบครัว

การล่มสลายของธุรกิจครอบครัว

กงสี หรือธุรกิจครอบครัว ที่ดำเนินการมายาวนานส่งต่อรุ่นสู่รุ่น เรียกได้ว่าแทบจะหลับตาทำก็ยังได้ ร่ำรวยจนกระทั่งไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมก็ยังมีเงินเหลือใช้ แต่วันนี้คงต้องปรับความคิดกันใหม่ เพราะแนวโน้มธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

จากประสบการณ์ของผมเองที่ได้เห็น  "ความล่มสลาย" ของธุรกิจต่างๆ ต่อเนื่องยาวนานไม่น้อยกว่า 50 ปี

ซึ่งได้ส่งผลให้ความมั่งคั่งของเจ้าของ "ล่มสลาย" ลงตามธุรกิจนั้น ความล่มสลายที่ว่านั้น คนอาจจะมีความรู้สึกหรือคิดว่ามันเป็นเรื่องของธุรกิจขนาดใหญ่ หรือคนระดับเจ้าสัวหรือเศรษฐีใหญ่ที่คนทั่วไปรู้จักกันเป็นอย่างดี

แต่จริงๆ แล้วมันรวมถึงการล่มสลายของธุรกิจขนาดเล็กที่เป็น SME หรือธุรกิจขนาดกลางที่เป็น "กงสี" ของครอบครัวที่มักจะมีพี่น้องหลายคนเป็นเจ้าของร่วมกันด้วย

ในบทความนี้ผมจะพูดถึงความคิดของผมที่มีต่อธุรกิจขนาดเล็กและกลางที่เป็น "ธุรกิจครอบครัว" ที่ก่อตั้งและดำเนินการมานานอย่างน้อยน่าจะเป็น 10 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่อาจจะทำมาเกิน 20 ปี และบริหารโดยผู้ก่อตั้งหรือสมาชิกที่เป็นลูกหลานของผู้ก่อตั้งธุรกิจ เขาเหล่านั้นรู้จักและคุ้นเคยกับธุรกิจเป็นอย่างดี "แทบจะหลับตาทำ" ได้

ความคิดที่จะปรับเปลี่ยนหาวิธีทำงานแบบใหม่นั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญรีบด่วน ว่าที่จริงก็ไม่รู้จะปรับอย่างไรเพราะว่าก็ทำมานาน มีกำไรอยู่ได้และธุรกิจก็โตมาเรื่อยๆ ฐานะของผู้บริหารและที่บ้านเองก็ "ร่ำรวย" พอสมควร สามารถใช้ชีวิตหรูหราและมีความสุขไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก 

แต่สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าพวกเขาส่วนใหญ่อาจจะกำลังตกอยู่ในภาวะที่ "อันตราย" โดยไม่รู้ตัว อันตรายที่ว่านั้นก็คือ การที่ธุรกิจของตนอาจจะ "ล่มสลายลง"  หรือค่อยๆ ตกต่ำลงอย่างช้าๆ จนต้องปิดตัวลง ความมั่งคั่งที่มีอยู่นั้น พอถึงเวลาอีก 10-20 ปีข้างหน้าอาจจะสูญหายไป ตัวเขาหรือลูกหลานอาจจะไม่ใช่คนรวยอีกต่อไป และเมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ปรับตัวเพื่อหนีให้พ้นจากสภาวะนั้นในช่วงเวลาที่ยังทำได้

เหตุผลก็คือ ธุรกิจที่อยู่มานานแล้วนั้น ถ้าเศรษฐกิจยังเติบโตดี ความต้องการสินค้าและบริการยังเพิ่มขึ้นและไม่มีผลิตภัณฑ์แบบใหม่มาทดแทน พวกเขาก็จะยังสามารถขายสินค้าเพิ่มขึ้นและมีกำไรเพิ่มขึ้น คนที่ประสบความสำเร็จก็จะสามารถเติบโตและร่ำรวยขึ้น และนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาจนถึงเมื่อเร็วๆ นี้ และธุรกิจภาคส่วนที่เป็น "ดารา" และก่อให้เกิด "เศรษฐี" จำนวนมากในเมืองไทยก็คือ "โรงงานผลิตสินค้า"

โดยเฉพาะที่เป็นผู้ส่งออกที่ประเทศไทยสามารถแข่งขันในระดับโลกได้ นอกจากโรงงานแล้ว ภาคเศรษฐกิจที่เป็นผู้ค้าขายในประเทศเองก็เติบโตขึ้นตามความมั่งคั่งของคนในประเทศที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว คนที่ทำธุรกิจค้าขายรายใหญ่ระดับจังหวัดหรือภาค ก็กลายเป็นกลุ่มคนร่ำรวยของสังคมด้วย

แต่ธุรกิจทุกอย่างนั้นก็มีวงจรชีวิตของมัน กล่าวคือมีช่วงเวลาของการเติบโตอย่างช้าๆ เติบโตเร็ว อิ่มตัว และสุดท้ายก็ตกต่ำลงและอาจจะตายในที่สุด ธุรกิจครอบครัวเองก็ไม่เว้น ในอดีตนั้นวงจรแต่ละช่วงอาจจะยาว ธุรกิจโตไปได้เป็นสิบหรือหลายสิบปี อานิสงส์จากการที่เศรษฐกิจไทยที่เติบโตสูงต่อเนื่องยาวนานและไม่ค่อยมีผลิตภัณฑ์แบบใหม่มาทดแทนของเดิม

อย่างไรก็ตามผมก็ยังพบเห็นตลอดมาว่า ธุรกิจครอบครัวที่เคยเข้มแข็งและเจ้าของมั่งคั่งมานานต่างก็ล่มสลายลงเนืองๆ สมาชิกในครอบครัวกลายเป็นแค่ "คนชั้นกลาง" เหมือนกับตัวผมเองที่เป็นคนกินเงินเดือนมาตลอดชีวิต

เหตุผลหลักก็คือ ธุรกิจที่เขาทำนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก คู่แข่งใหม่แข็งแกร่งกว่าเขาเพราะเป็นบริษัทขนาดใหญ่และบ่อยครั้งก็มาจากต่างประเทศ

ในช่วงหลังๆ ประมาณซัก 10 ปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าวงจรของธุรกิจต่างๆ จะสั้นลงมาก อานิสงส์จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะในด้านของดิจิทัล ซึ่งทำให้ธุรกิจ "ดั้งเดิม" ทั้งหลายต้องปรับตัวเพื่อรับกับการแข่งขันใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนปรับตัวไม่ทัน นั่นประกอบกับการที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเหตุผลต่างๆ รวมถึงการที่คนไทยแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วและอัตราการเกิดน้อยลงมาก ทำให้ธุรกิจครอบครัวจำนวนมากตกอยู่ในอันตราย จากการที่จะถูก Disrupt ได้

"ธุรกิจนั้นจะต้องเริ่มกระจายความเสี่ยง... สิ่งที่ควรทำก็คือ นำเงินหรือความมั่งคั่งที่เก็บสะสมยาวนานไปลงทุนหุ้นที่ทำธุรกิจหลากหลาย"

และนี่ก็คือความเสี่ยงหรืออันตรายที่ผมพูดถึงและผมเชื่อว่าธุรกิจครอบครัวจำนวนมาก ก็อาจจะยังไม่ตระหนักและรีบปรับตัวให้เร็วก่อนที่จะสายเกินไป

ในฐานะที่เป็น "มนุษย์หุ้น" ปัญหาอะไรต่างๆ ผมก็มักจะพยายามแก้ไขโดยหุ้น การวิเคราะห์ปัญหาของผมก็คือ คนที่ทำธุรกิจครอบครัวนั้นก็คือคนที่ถือหุ้นของบริษัทหรือกิจการนั้น 100% และถ้ามีเพียงหนึ่งธุรกิจก็คือเขา "ถือหุ้นเพียงตัวเดียว" ในพอร์ต ไม่มีการกระจายความเสี่ยงเลย คนที่ถือหุ้นเพียงตัวเดียวนั้น  บ่อยครั้งก็อาจจะรวยไปเลย ถ้าหุ้นตัวนั้นดีสุดยอดและวิ่งขึ้นไปสูงมาก แต่ถ้าเกิดปัญหาหรือซื้อหุ้นผิดตัว หรือพื้นฐานหุ้นแย่ลงมาก การขาดทุนและหายนะก็อาจจะเกิดขึ้นได้ และนี่ก็อาจจะคล้ายๆ กับหุ้นที่ถูก Disrupt ไปแล้วหลายๆ ตัวเมื่อเร็วๆ นี้

ลองคิดดูว่าถ้าเป็นธุรกิจครอบครัวที่ไม่สามารถขายได้เลยแล้วถูก Disrupt  มูลค่าหุ้นจะเหลือเท่าไร? บางคนอาจจะคิดว่าทรัพย์สิน โดยเฉพาะที่เป็นที่ดิน อาคาร โรงงาน และเครื่องจักรนั้นมีมูลค่าเป็นร้อยๆ ล้านบาทืซึ่งเป็นเครื่องแสดงถึงความร่ำรวยที่ครอบครัวมีอยู่นั้นไม่เหมือนหุ้นที่หมดค่าได้ง่ายๆ แต่นั่นเป็นแค่ "ภาพลวงตา" เพราะในยามที่ธุรกิจไม่สามารถอยู่ต่อได้แล้ว  ทรัพย์สินที่มีอยู่ยกเว้นที่ดินก็อาจจะกลายเป็นแค่เศษเหล็กที่ไม่มีค่าอะไรเลย

ทางแก้ของผมก็คือ คนที่ทำแต่ธุรกิจครอบครัวนั้นจะต้องเริ่มกระจายความเสี่ยง ไม่ใช่ไปตั้งธุรกิจใหม่อีกแห่งหนึ่ง แม้ว่านั่นก็อาจจะช่วยได้บ้าง แต่สิ่งที่ควรทำก็คือ นำเอาเงินหรือความมั่งคั่งที่เก็บสะสมมายาวนานไปลงทุนในหุ้นที่ทำธุรกิจหลากหลาย

ธุรกิจหนึ่งก็อาจจะเป็นธุรกิจที่เราทำอยู่และเรารู้จักดีมาก เพราะเป็นคู่แข่งกันในท้องตลาด เลือกเอาบริษัทที่เราคิดว่าแข็งแกร่งและเป็นผู้ชนะ และอาจจะเป็นตัวที่กำลังทำลายธุรกิจครอบครัวของเราด้วย โดยที่ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อนั้นเราก็จะต้องดูว่าราคาหุ้นนั้นถูกหรือยุติธรรมไหม กำไรและปันผลของมันดูดีกว่าการลงทุนในธุรกิจของครอบครัวที่ทำอยู่ไหม

เมื่อเราเริ่มเข้าใจว่าการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้น แท้ที่จริงก็คือการทำธุรกิจ โดยการเป็นเจ้าของธุรกิจบางส่วนแล้ว เราก็ควรจะต้องคิดต่อไปว่าการมีแค่ 2 ธุรกิจก็อาจจะไม่พอในยามที่วงจรธุรกิจเปลี่ยนเร็วมากในปัจจุบัน เราอาจจะคิดว่าน่าจะมีซัก 3 หรือ 4 หรือ 5 ธุรกิจ

แต่ผมคิดว่าเราไม่ควรมีธุรกิจจำนวนมากเกินไป จนเราไม่สามารถรู้หรือติดตามได้ว่าธุรกิจกำลังอยู่ในวงจรไหนของการเติบโต ซึ่งจะทำให้เราลงทุนในธุรกิจที่ไม่คุ้มค่าและทำให้เราเสียหายได้ การซื้อหุ้นหลายตัวมากเกินไปนั้น ในที่สุดเราก็มักจะขายไปและซื้อหุ้นตัวใหม่ไปเรื่อยๆ และกลายเป็นว่าเรากำลัง "เล่นหุ้น"  ซึ่งก็คือเราไม่ได้คิดถึงพื้นฐานของการเป็นธุรกิจเลย  เราเอาแต่เก็งว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงในระยะสั้นแข่งกับคนอื่นซึ่งจะไม่ใช่การแก้ปัญหาว่าธุรกิจครอบครัวกำลังอยู่ในอันตรายและมันอาจจะกระทบกับความมั่งคั่งของตนเองและครอบครัวได้

ในกรณีที่เรา "วิเคราะห์หุ้นไม่เป็น" ทางแก้ปัญหาก็คือการลงทุนในกองทุนรวมหุ้น โดยเฉพาะที่เป็นกองทุนอิงดัชนีหลักๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ นี่คือการที่เราเลือกลงทุนในหุ้นหรือกิจการ "ชั้นนำ" ที่สุดของประเทศไทยหรือของต่างประเทศ โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนและรักษาความมั่งคั่งของตนและครอบครัวไว้ก็จะมีสูงกว่าการทำธุรกิจครอบครัวเพียงอย่างเดียว ซึ่งก็เหมือนกับการมีหุ้นเพียงตัวเดียว และอาจจะเป็นหุ้นที่กำลังถูก Disrupt ด้วย

แน่นอนว่าการปรับตัวโดยการเปลี่ยนธุรกิจ หรือเลิกธุรกิจที่เป็นโรงงานใหญ่โตที่ครอบครัวทำมานานนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ทรัพย์สินอาจจะ 70-80% ของครอบครัวอาจจะอยู่ในธุรกิจที่ไม่สามารถขายออกไปได้แม้ว่าจะอยากทำ เจ้าของธุรกิจจำนวนมากนั้นมักจะเป็น "นักสู้" ที่เมื่อธุรกิจมีปัญหาก็จะต้องกอบกู้ ซึ่งบ่อยครั้งก็จะต้อง "เพิ่มเงิน" ลงไป ในเรื่องของการลงทุนในตลาดหุ้น บางทีเราก็เรียกว่า "ซื้อถัว" คือหุ้นมันตกลงมาต่ำกว่าทุนแล้วเราคิดว่าในที่สุดหุ้นจะปรับตัวกลับขึ้นมาเราก็เลยซื้อหุ้นเพิ่ม

ผมเองคงบอกไม่ได้ว่าควรทำหรือไม่ เจ้าของธุรกิจจะต้องวิเคราะห์เองว่าคุ้มไหม บางทีเขาควรจะปรับเปลี่ยน Mindset หรือความคิดจากการเป็นนักสู้มาเป็น "นักเลือก" บ้างว่า เราไม่ควรจะต้องสู้ทุกครั้ง โดยเฉพาะถ้าเรารู้ว่าหนทางประสบความสำเร็จนั้นน้อยลงมากในภาวการณ์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป ในกรณีแบบนี้ บางทีการ "Stop Loss" หรือขายทิ้งหรือหยุดการเพิ่มเงิน แล้วนำเงินนั้นไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นและในธุรกิจอื่นอาจจะดีกว่า