SEAFCO โชว์กำไรโต 29% สวนทางราคาหุ้นปีนี้ดิ่งหนัก

SEAFCO โชว์กำไรโต 29% สวนทางราคาหุ้นปีนี้ดิ่งหนัก

‘ซีฟโก้’ โชว์กำไร 9 เดือน โต 29% แต่ราคาหุ้นร่วง 35% จากปีก่อน ผลงานไตรมาส 3/62 ส่งสัญญาณชะลอตัว ผู้บริหารรับทั้งปีรายได้ต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย หลังรับรู้งานโครงการใหญ่ไปหมดแล้ว

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO ปรับตัวลดลงประมาณ 35% ล่าสุดลงมาแตะระดับ 6 บาท จากเมื่อปลายปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 8.40 บาท โดยการปรับตัวลงของราคาหุ้นในรอบนี้ สวนทางกับผลประกอบการรวม 9 เดือน ปี 2562 ซึ่งทำได้ 324.46 ล้านบาท เติบโต 29% จากปีก่อน

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเฉพาะกำไรในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ทำได้ 102.63 ล้านบาท ลดลง 2.6% จากปีก่อน หลังจากที่งานโครงการขนาดใหญ่ คือ รถไฟฟ้าสายสีส้ม และโครงการ One Bangkok ส่งมอบไปหมดแล้ว

นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการรวมทั้งปีนี้ รายได้อาจจะต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 3,000 ล้านบาท เพราะช่วงไตรมาส 4 มีแนวโน้มชะลอตัว หลังจากงานโครงการใหญ่ส่งมอบไปหมดแล้ว แต่จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวกลับมาอีกครั้งในไตรมาส 1 ปี 2563

ในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายไว้ที่ 3,000 ล้านบาท เช่นเดิม เพราะปีนี้อาจจะพลาดเป้าไปประมาณ 100 ล้านบาท ด้วยเป้าหมายระดับนี้ ทำให้บริษัทต้องรับงานเข้ามาประมาณ 4,000 – 5,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีงานในมืออยู่แล้ว 1,800 ล้านบาท 

"ตั้งแต่ปี 2561 ที่ผ่านมา ฐานรายได้ของบริษัทกระโดดขึ้นจากประมาณ 1,800 ล้านบาทต่อปี มาอยู่ที่เกือบ 3,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทก็เชื่อว่าจะสามารถทำได้ถึงเป้าหมายนี้ในอนาคตอย่างแน่นอน ในส่วนราคาหุ้นที่ลดลงมาก็เป็นเรื่องปกติมีขึ้นมีลง ช่วงนี้นักลงทุนอาจจะมองว่าผลประกอบการชะลอตัว แต่หน้าที่ของบริษัทคือหางานเข้ามาและทำกำไรให้ได้ตามเป้า ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับราคาหุ้นที่ขึ้นลงนัก โดยจุดเด่นของบริษัทคือการอยู่ในธุรกิจต้นน้ำ เพราะงานฐานรากจำเป็นจะต้องทำก่อน และส่วนมากแล้วจะคิดเป็นเพียง 5% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด ทำให้งานของบริษัทไม่ค่อยมีความเสี่ยงจากกระแสเงินสดของลูกค้ามากนัก”

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างยื่นประมูลงานประมาณ 1.78 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นงานภาคเอกชนประมาณ 1 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะทยอยรู้ผลต่อเนื่องในปีหน้า ส่วนงานที่ยังไม่ได้เปิดประมูล โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ มีมูลค่ารวมถึง 1.99 ล้านล้านบาท ในส่วนนี้เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับบริษัทประมาณ 3-5%

“ในขณะนี้ต้องยอมรับว่างานก่อสร้างโดยรวมชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรองบประมาณภาครัฐ และอีกส่วนหนึ่งก็มาจากภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในส่วนของที่อยู่อาศัย ซึ่งมีโครงการเหลือขายมากขึ้น โดยภาพรวมจึงเห็นโครงการก่อสร้างชะลอตามไปด้วย แต่บริษัทเชื่อว่าจะกระทบแค่ในระยะสั้น เพียงแต่ต้องรอให้โครงการภาครัฐทยอยออกมา”

ด้าน บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า คงคำแนะนำ ซื้อ แม้กำไรครึ่งหลังปีนี้จะอ่อนกว่าครึ่งปีแรก แต่คาดว่าตลอดทั้งปีบริษัทยังจะสามารถทำกำไรเป็นสถิติสูงสุดใหม่ที่ 373 ล้านบาท เพิ่ม 1% จากปีก่อน แต่กำไรสุทธิต่อหุ้นลดลง 8% เพราะจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นจากหุ้นปันผลในงวดปี 2561 ที่ผ่านมา ส่วนปี 2563 คาดกำไรกลับมาเพิ่มได้ 10% จากรายได้ก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น ตามการได้งานเพิ่ม ข้อดีคือ มีโอกาสจะได้รับงานฐานรากรถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน เพราะมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่ม ช.การช่าง (CK)