กูรูแนะลุยหุ้น 'กลุ่มนิคมฯ' หลบภัยช่วง 'สงครามการค้า' ไร้ข้อยุติ

กูรูแนะลุยหุ้น 'กลุ่มนิคมฯ' หลบภัยช่วง 'สงครามการค้า' ไร้ข้อยุติ

นักวิเคราะห์ชูหุ้น "กลุ่มนิคมฯ" หลุมหลบภัยท่ามกลางความเสี่ยงสงครามการค้า ที่ยังไร้ข้อยุติ คาดปีหน้าต่างชาติย้ายฐานเข้าไทยเพิ่มขึ้น ขณะผลประกอบการ 9 เดือนปี 62 โตเด่นสวนทางภาพรวมกำไรบจ.

สงครามการค้าระหว่าง "สหรัฐ" และ "จีน" ดูท่าจะยังไม่คลี่คลายลงง่ายๆ แม้ก่อนหน้านี้ จะมีกระแสข่าวว่าทั้งสองประเทศ ใกล้บรรลุข้อตกลงทางการค้าร่วมกันในขั้นแรก แต่ล่าสุดยังไม่มีการลงนามทำสัญญาใดๆ เกิดขึ้น ทั้งยังมีรายงานจากสำนักงานทางฝั่งสหรัฐออกมาว่า การบรรลุข้อตกลงทางการค้าในขั้นแรกจะเลื่อนออกไปเป็นปีหน้า ในขณะที่จีนก็ต้องการให้สหรัฐลดภาษีการค้าลงในอัตราที่สูงขึ้น

ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อภาวะการลงทุนโดยรวมทั่วทั้งโลก รวมถึงประเทศไทย เกิดความผันผวนค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยเป็นไปในเชิงลบเสียมากกว่า อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าหุ้นใน "กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม" ของไทย จะยังไม่ได้รับผลกระทบจากประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นมากนัก ในทางตรงข้ามยังอาจส่งผลกระทบ “เชิงบวก” ในอนาคตด้วย 

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า แม้จะมีกระแสข่าวของการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในเบื้องต้น แต่ฝ่ายวิจัยมองว่าปัจจัยดังกล่าวจะยังก่อให้เกิดความกังวลต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า และจะสามารถคลี่คลายได้อย่างเร็วที่สุดคือช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในช่วงเดือน พ.ย. 2563

สำหรับโอกาสการลงทุนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ หุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมน่าจะเป็นกลุ่มที่น่าจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นแรงหนุนขึ้นมาด้วย เนื่องจากบริษัทต่างประเทศอาจจะตัดสินใจย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น

“ในปีนี้เรายังไม่ได้เห็นภาพของการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทางออกของสงครามการค้าที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งบางส่วนมองว่าจะดีขึ้น แต่อีกส่วนก็มองว่าจะยืดเยื้อ อย่างไรก็ตาม หากท้ายที่สุดสงครามการค้ายังคงยืดเยื้อต่อไปในปีหน้า ก็มีแนวโน้มจะเห็นการย้ายฐานผลิตเข้ามาในไทยมากขึ้น ซึ่งก็จะเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้งธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ โลจิสติกส์ สาธารณูปโภค คลังสินค้า เป็นต้น”

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินหุ้นที่น่าจะโดดเด่นจากโอกาสของการย้ายฐานการผลิตในครั้งนี้ ได้แก่ AMATA, FPT และ JWD ขณะที่ WHA เป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีในระยะยาว แต่อัพไซด์ค่อนข้างจำกัด

ด้าน นายสมชาย กาญจนเพชรรัตน์ กรรมการผู้จัดการอาวุโส ธุรกิจหลักทรัพย์บุคคล บล.เคจีไอ เปิดเผยว่า หุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมน่าจะได้รับประโยชน์บ้าง แต่อาจจะไม่ได้เห็นการย้ายฐานผลิตเข้ามากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะประเทศอย่างเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ที่เริ่มน่าสนใจมากขึ้นที่จะเข้าไปลงทุน ด้วยจุดเด่นจากค่าจ้างแรงงานที่ยังต่ำกว่าไทยพอสมควร

“หากท้ายที่สุดสงครามการค้ายังคงยืดเยื้อ สหรัฐและจีนตัดสินใจไม่ซื้อขายกันจริง ประเทศไทยก็น่าจะได้รับผลบวกบ้างเล็กน้อย เพราะประเทศเหล่านี้ก็ต้องหันมานำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆ แทน แต่ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าสหรัฐไม่ได้พยายามกีดกันการค้ากับจีนเท่านั้น ซึ่งไทยเองก็มีโอกาสจะเผชิญกับปัญหานี้เช่นกัน”

ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องในช่วง 9 เดือน ที่ผ่านมา ทำผลงานได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มนี้ซึ่งมีกำไรเติบโตขึ้นเกือบทั้งหมด

อย่าง ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) มีกำไรสุทธิ 9 เดือน รวม 2,028 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อน อมตะ คอร์ปอเรชัน (AMATA) มีกำไรสุทธิ 1,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% จากปีก่อน สวนอุตสาหกรรมโรจนะ (ROJNA) มีกำไรสุทธิ 1,676 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 298% จากปีก่อน เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) หรือ FPT มีกำไรสุทธิ 1,791ล้านบาท เพิ่มขึ้น 130% จากปีก่อน และ เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ (JWD) มีกำไรสุทธิ 244 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53%

ส่วนหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่มีผลประกอบการลดลงได้แก่ อมตะ วีเอ็น (AMATAV) ขาดทุนสุทธิ 10 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีกำไร 309 ล้านบาท นวนคร (NNCL) มีกำไรสุทธิ 183 ล้านบาท ลดลง 30% และ สวนอุตสาหกรรม วินโคสท์ (WIN) ขาดทุนสุทธิ 10 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.7 ล้านบาท