ภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นหนึ่งในรายได้หลักที่ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจไทยปีนี้ แม้ครึ่งปีแรกสถานการณ์ดูไม่ค่อยสดใส เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยว
โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นตลาดหลักดูทรงๆ ไม่ได้ร้อนแรงอย่างที่หวัง เพราะเศรษฐกิจจีนถูกเล่นงานจากวิกฤตสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ ค่าเงินหยวนอ่อนค่า ขณะที่เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง เท่ากับว่าเมื่อคนจีนมาเที่ยวไทยต้องควักเงินใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
แต่ก็ถือว่ายังโชคดีที่มีตลาดอื่นๆ เข้ามาทดแทน อย่างอินเดียที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวเติบโตอย่างก้าวกระโดด มากันทีเป็นหมู่คณะใหญ่ๆ คนอินเดียนิยมมาจัดงานแต่งงาน มาถ่ายทำภาพยนตร์ ถ่ายรายการโทรทัศน์ในบ้านเรา
และเมื่อเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง ตลาดดูสดใสขึ้น คนจีนเริ่มกลับมาแล้ว ประกอบกับฐานที่ต่ำในปีก่อน เนื่องจากเกิดเหตุการณ์เรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต ขณะที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการยกเลิกค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa On Arrival) ให้กับนักท่องเที่ยว 18 ประเทศ และ 1 เขตเศรษฐกิจ ซึ่งล่าสุดได้ต่ออายุมาตรการไปถึงเดือนเม.ย. 2563
ยิ่งตอนนี้กำลังเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว เทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปีก่อนต้อนรับปีใหม่ ทำให้ตลาดคึกคักมากขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับอานิสงส์ไปด้วย ลำดับแรกคงหนีไม่พ้นสนามบิน เพราะถือเป็นประตูบานแรกในการต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
จึงไม่แปลกที่จะได้เห็นราคาหุ้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เจ้าของสัมปทานสนามบิน 6 แห่ง ทั่วประเทศ เดินหน้าทำระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ตอนนี้ทะลุ 80 บาท ไปแล้ว แม้บริษัทจะยอมรับว่าผลประกอบการงวดปี 2562 (ต.ค. 2561-ก.ย. 2562) ทรงตัวจากปีก่อนก็ตาม เพราะจำนวนผู้โดยสารจะเติบโตไม่ถึง 2% เท่านั้น เนื่องจากผู้โดยสารเส้นทางในประเทศลดลง แต่ผู้โดยสารระหว่างประเทศยังเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าตลอดทั้งปีมีข่าวดีเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งการเปิดประมูลพื้นที่ดิวตี้ฟรีสุวรรณภูมิ และ 3 สนามบินภูมิภาคที่ “คิงเพาเวอร์” คว้าไปได้ทุกสัญญา แถมเสนอส่วนแบ่งรายได้ให้กับ ทอท. เพิ่มขึ้นมากโข ส่วนปลายปีจะมีประมูลดิวตี้ฟรี สนามบินดอนเมือง และ จุดบริการเคาน์เตอร์ส่งมอบสินค้าปลอดอากร (Duty Free Pick-up Counter) หรือ พิคอัพเคาน์เตอร์ อีก
ขณะที่แผนการขยายสนามบินสุวรรณภูมิยังเดินหน้าต่อ ล่าสุดที่ประชุมบอร์ด ทอท. เมื่อวันที่ 20 พ.ย. ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบแผนแม่บทท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประจำเดือน พ.ย. 2562 ไฟเขียวการก่อสร้างโครงการส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ (North Expansion) โดยเตรียมนำเสนอต่อกระทรวงคมนาคม และขอความคิดเห็นจากสภาพัฒน์ฯ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
นอกจากนี้ เห็นชอบโครงการกระตุ้นตลาดด้านการบินและการท่องเที่ยวไทยระยะสั้น โดยให้ส่วนลดค่าบริการขึ้นลงอากาศยาน (Landing Fee) แก่เที่ยวบินเช่าเหมาลำระหว่างประเทศ ที่มาทำการบิน ณ ท่าอากาศยาน ทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จำนวน 50% เป็นเวลาทั้งหมด 5 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2562 – 30 เม.ย. 2562
หวังเป็นอีกหนึ่งมาตรการจูงใจนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งดูแล้วน่าจะได้มากกว่าเสีย เพราะแม้ว่ารายได้จากการให้บริการส่วนนี้จะลดลง แต่คุ้มค่ากับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามามากขึ้น ขณะที่รายได้ที่หายไปคงไม่มาก เมื่อเทียบกับรายได้รวมของบริษัท จึงไม่น่าส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างมีนัยยะสำคัญ ดังนั้นราคาหุ้นที่ปรับตัวลงในช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมา ไม่น่ามาจากข่าวดังกล่าว ดูแล้วคงอิงไปกับภาวะตลาดมากกว่า
ด้านบล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุว่า การให้ส่วนลดค่า Landing Fee จะส่งผลกระทบจำกัด เพราะว่าปัจจุบันมีสัดส่วนเที่ยวบินเช่าเหมาลำเพียงแค่ 1.17% ของเที่ยวบินรวมทั้งหมด หรือ ประมาณ 30 เที่ยวบินต่อวัน เท่านั้น โดยฝ่ายวิจัยประเมินค่า Landing Fee เฉลี่ยต่อลำอยู่ที่ 2 หมื่นบาท เท่ากับว่าจะมีรายได้ในส่วนนี้ราว 6 แสนบาทต่อวัน ดังนั้น เมื่อมีการปรับลดค่าบริการลง 50% เหลือลำละ 1 หมื่นบาท จะส่งผลให้รายได้หายไปแค่ 3 แสนบาทต่อวัน รวม 5 เดือน รายได้จะลดลงไปทั้งหมด 45 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้ของบริษัทต่อปีที่ 6.4 หมื่นล้านบาท