กูรูแนะทยอยเก็บ 'หุ้นใหญ่' มั่นใจผลดำเนินงานพ้นจุดต่ำสุด ลุ้นกำไรปีหน้าโต 4-5%

กูรูแนะทยอยเก็บ 'หุ้นใหญ่' มั่นใจผลดำเนินงานพ้นจุดต่ำสุด ลุ้นกำไรปีหน้าโต 4-5%

นักวิเคราะห์เชียร์ไล่เก็บหุ้นกลุ่ม “เซ็ท50” เก็งแนวโน้มกำไรฟื้นตัวปีหน้า คาดทั้งระบบโต 4-5% หากสงครามการค้าคลี่คลายต่อเนื่อง ประเมินมูลค่าหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี และธนาคาร เริ่มน่าสนใจต่อการเข้าซื้อเก็งกำไร

ผลกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จากที่ประกาศออกมาแล้ว 763 บริษัท คิดเป็น 97% ของตลาด มีกำไรสุทธิรวม 2.17 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.3% จากไตรมาส 2/2562 แต่หดตัว 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรรวม 9 เดือน ทำได้ 6.9 แสนล้านบาท ลดลง 14.6% จากปีก่อน โดยหลักมาจากการลดลงของผลกำไรในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นซึ่งไตรมาสนี้มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันดิบและสินค้าคงคลัง

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายกลุ่มธุรกิจที่ผลกำไรออกมาน่าผิดหวัง อาทิ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มสื่อ และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ผลกำไรที่อ่อนแอดังกล่าวคาดว่าจะทำให้ตลาดปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ลงอีก

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า เดิมทีฝ่ายวิจัยประเมินกำไรบริษัทจดทะเบียนรวมทั้งปี 9.99 แสนล้านบาท แต่หลังจากผลประกอบการ 9 เดือน ลดลงค่อนข้างมาก จึงมีแนวโน้มที่จะปรับประมาณการลงจากเดิมประมาณ 3.6% มาอยู่ที่ 9.64 แสนล้านบาท ทำให้กำไรต่อหุ้นลดลงจาก 100.64 บาท หรือ 96.99 บาท อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะส่งผลลบต่อดัชนี SET ไม่มาก เพราะตลาดรับรู้กับปัจจัยนี้ไปบ้างแล้ว

ในเบื้องต้น ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการ 13 บริษัท รวม 1.19 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทที่มีการปรับประมาณการขึ้น มากสุด ได้แก่ TPIPL, MINT และ MSC ตรงข้ามบริษัทมีการปรับลดประมาณการ 44 บริษัท รวม 4.81 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่อยู่ในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี อาทิ IVL, IRPC และ BANPU

“โดยภาพรวมเชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงรอยต่อของไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ที่ผ่านมา และด้วยการปรับประมาณในปีนี้ลง ทำให้แนวโน้มของปีหน้าจะกลับมาเติบโตได้ราว 4-5% ซึ่งในจุดนี้เชื่อว่าหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่ม SET50 เริ่มมีความน่าสนใจ และจะเป็นกลุ่มที่ฟื้นตัวกลับมาได้เร็วกว่า”

157425567025

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) เปิดเผยว่าหลังจากที่ราคาหุ้นโดยภาพรวมปรับฐานลงมาในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาลดลงมาอยู่ในโซนล่างเริ่มน่าสนใจ แม้แนวโน้มผลประกอบการช่วงไตรมาส 4 นี้ จะยังไม่ดีนัก แต่มุมมองของการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และโอกาสฟื้นตัวในปี 2563 หลังจากสงครามการค้าคลี่คลาย ทำให้นักลงทุนมีโอกาสจะเข้ามาซื้อเก็งกำไรตามโมเมนตัมมากขึ้น

“ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เงินทุนต่างชาติไม่ได้ไหลเข้ามาเลย ซึ่งปีก่อนไหลออกถึง 2.8 แสนล้านบาท ส่วนปีนี้แม้จะไหลเข้ามาในช่วงแรก แต่ปัจจุบันก็ไหลกลับออกไปเกือบหมด ซึ่งก็เป็นเพราะกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ไม่ดี ประกอบกับมูลค่าหุ้นไทยที่ค่อนข้างแพงก่อนหน้านี้ แต่หากปีหน้ากำไรบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัวได้อย่างที่คาด และมูลค่าหุ้นที่ลดลงมาก่อนหน้านี้ จะช่วยเงินลงทุนไหลเข้ามาได้อีกครั้ง ทั้งนี้ ด้วยภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ จะเป็นโอกาสของบริษัทขนาดใหญ่มากกว่า เพราะปลาเล็กจะค่อยๆ ตายไปมากขึ้น”

แม้แนวโน้มผลประกอบการช่วงไตรมาส 4 นี้ จะยังไม่ดีนัก แต่มุมมองของการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และโอกาสฟื้นตัวในปี 2563 หลังจากสงครามการค้าคลี่คลาย ทำให้นักลงทุนมีโอกาสจะเข้ามาซื้อเก็งกำไรตามโมเมนตัมมากขึ้น

ทั้งนี้ กลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการเก็งกำไรประเด็นการคลี่คลายของสงครามการค้าคือ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ซึ่งจะได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ส่วนกลุ่มธนาคารช่วงไตรมาส 4 น่าจะฟื้นตัวกลับมาได้เทียบกับปีก่อน อีกกลุ่มที่น่าสนใจคือกลุ่มพาณิชย์ซึ่งน่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงไฮซีซันปลายปี หลังจากที่ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ไม่ได้รับความสนใจเท่าใดนัก